สรรพสามิตลุย “ภาษีความเค็ม” ชูโมเดลขั้นบันได ปลุกตลาดอาหารสุขภาพคึกคัก

กรมสรรพสามิตเตรียมเก็บภาษีความเค็ม ใช้โมเดลขั้นบันไดตามแบบภาษีความหวาน จับตาตลาดอาหาร-เครื่องดื่มเร่งปรับสูตรรับมือ ขับเคลื่อนตลาดสินค้าเพื่อสุขภาพโตแรง

การเก็บภาษีความเค็ม: ก้าวต่อไปของภาษีสุขภาพ

หลังจากการบังคับใช้ภาษีความหวานอย่างเต็มรูปแบบเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตได้ประกาศเดินหน้าศึกษาและจัดทำ “ภาษีความเค็ม” โดยใช้อัตราขั้นบันไดเช่นเดียวกัน เป้าหมายหลักคือการปรับพฤติกรรมการบริโภคโซเดียมของคนไทยซึ่งสูงเกินมาตรฐานองค์การอนามัยโลก (WHO) กว่าเท่าตัว

“เราจะใช้เครื่องมือภาษีเป็นกลไกในการกระตุ้นทั้งฝั่งผู้ผลิตและผู้บริโภค โดยไม่ให้กระทบต่อต้นทุนของผู้ประกอบการมากเกินไป” — กุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมสรรพสามิต

เครื่องดื่ม–อาหาร–สแน็ค ขยับตัวแรง

แนวโน้มการเก็บภาษีตามปริมาณโซเดียมทำให้ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคเริ่มเร่งพัฒนาสูตร “โลว์โซเดียม” เพื่อเลี่ยงภาระภาษี อุตสาหกรรมที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษ ได้แก่:

  • บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป: กลุ่มที่มีโซเดียมสูงสุด
  • ขนมขบเคี้ยว: อยู่ในอันดับสอง
  • อาหารแช่แข็ง: เสี่ยงถูกเก็บภาษีตามโครงสร้างใหม่

ผลกระทบนี้ยังลามไปถึงผู้ประกอบการรายใหญ่ เช่น โค้กและเป๊ปซี่ ที่เคยเร่งออกสินค้า “โลว์ ชูการ์” เพื่อตอบโจทย์ภาษีความหวาน และเตรียมใช้กลยุทธ์คล้ายกันในสินค้าที่มีโซเดียมสูง

ผลักดันตลาดสุขภาพโตแรง

ข้อมูลจากกรมสรรพสามิตพบว่า ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับตราสัญลักษณ์ “โภชนาการทางเลือกสุขภาพ (Healthier Choice)” เพิ่มขึ้นจาก 216 รายการในปี 2558-2560 เป็น 1,863 รายการในเดือนมีนาคม 2566 สะท้อนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคและภาคธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ

นักวิชาการชี้ “เกมเปลี่ยน” โอกาสตลาด Blue Ocean

ผศ. ดร.เอกก์ ภทรธนกุล จากจุฬาฯ ระบุว่า ภาษีสุขภาพเป็น “ปัจจัยเร่ง” ให้ผู้ผลิตเร่งสร้างนวัตกรรมอาหารทางเลือก แม้ผู้บริโภคอาจไม่รู้ตัวว่ากำลังบริโภคสินค้าสูตรใหม่ เพราะรูปลักษณ์และรสชาติแทบไม่ต่างจากเดิม

  • ตลาดโลว์โซเดียมและโลว์ชูการ์กลายเป็น “Blue Ocean” ใหม่ที่แข่งขันกันพัฒนา
  • ราคาสินค้าสุขภาพยังไม่ถูกผลักภาระไปสู่ผู้บริโภคอย่างชัดเจน เพราะเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว
  • แบรนด์ใหญ่เลือกกลยุทธ์ลดสูตรหรือปริมาณบรรจุแทนการขึ้นราคา

วิเคราะห์เชิงระบบ: โอกาสหรือแรงกระแทก?

การเก็บภาษีความเค็มจะเปลี่ยนโครงสร้างตลาดอาหารสำเร็จรูปและเครื่องดื่มในไทย:

ผลกระทบเชิงบวกเชิงลบ
ผู้บริโภคมีทางเลือกสุขภาพมากขึ้นสับสนเรื่องสูตรใหม่–ราคาเท่าเดิม
ผู้ประกอบการโอกาสพัฒนา Blue Ocean สินค้าใหม่ต้องลงทุน R&D เพิ่ม
ระบบสาธารณสุขลดความเสี่ยงโรคเรื้อรังในระยะยาวต้องควบคุมมาตรฐานอย่างเข้มข้น

มาตรการภาษีความเค็มของกรมสรรพสามิตกำลังจะเป็นอีกหนึ่ง “Game Changer” ของอุตสาหกรรมอาหารไทย หลังความสำเร็จของภาษีความหวาน การใช้ภาษีเป็นเครื่องมือทางสุขภาพกำลังผลักดันทั้งตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภคให้มุ่งสู่การบริโภคอย่างยั่งยืน การปรับตัวของภาคธุรกิจในครั้งนี้จะไม่ใช่แค่การเลี่ยงภาษี แต่คือการสร้างมูลค่าเพิ่มในตลาดใหม่ที่ยังมีโอกาสอีกมากในยุคสุขภาพเป็นเทรนด์หลักของโลก

ข้อมูล :thansettakij