วงการผ้าเหลืองสะเทือนหนัก เมื่อ “พระธรรมวชิรานุวัตร” หรือ “เจ้าคุณแย้ม” เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง และเจ้าคณะภาค 14 เข้ามอบตัวต่อ บช.ก. หลังถูกออกหมายจับในคดียักยอกเงินวัดกว่า 300 ล้านบาท เพื่อนำไปเล่นพนันบาคาร่าออนไลน์ผ่านโบรกเกอร์สาว วัย 26 ปี ท่ามกลางคำถามต่อระบบตรวจสอบทรัพย์สินวัดและวิกฤติศรัทธาในสังคมไทย
เส้นทางสู่คดีอื้อฉาว: จากพระชั้นผู้ใหญ่สู่ผู้ต้องหาคดีพนัน
พระธรรมวชิรานุวัตร (แย้ม กิตฺตินฺธโร) หรือที่รู้จักในนาม “เจ้าคุณแย้ม” วัย 69 ปี เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง จังหวัดนครปฐม และเจ้าคณะภาค 14 เดินทางเข้ามอบตัวต่อกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 หลังศาลอนุมัติหมายจับในข้อหายักยอกเงินวัดกว่า 300 ล้านบาท เพื่อนำไปเล่นพนันออนไลน์ ผ่านหญิงสาวซึ่งเป็นนายหน้าหรือ “โบรกเกอร์” ของเครือข่ายเว็บพนัน
เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้เวลากว่า 8 เดือนในการสืบสวนและส่งสายลับแฝงตัวในวัด จนพบหลักฐานเชื่อมโยงเส้นทางการเงินจากบัญชีของวัดไปยังบัญชีส่วนตัวของเจ้าคุณแย้ม ก่อนจะถูกโอนไปยังหญิงสาวโบรกเกอร์ เพื่อใช้เล่นพนันบาคาร่าสดผ่านเว็บพนันรายใหญ่
ย้อนรอยเส้นทางเงินวัด: ซ่อนเร้นอย่างเป็นระบบ
วัดไร่ขิงเปิดบัญชีรับบริจาคกับธนาคารกว่า 7 แห่ง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำไปใช้ในงานศาสนา เช่น ซ่อมแซมโบสถ์ หล่อพระพุทธรูป หรือค่าใช้จ่ายโรงพยาบาล แต่เจ้าอาวาสสามารถมอบหมายให้พระผู้ช่วยหรือกรรมการวัดถอนเงินออกเป็นเงินสดครั้งละ 1-2 ล้านบาท แล้วนำไปฝากผ่านตู้ ATM ก่อนโอนเข้าบัญชีส่วนตัวเพื่อไปสู่มือของหญิงสาวที่เป็นโบรกเกอร์
ตำรวจพบการโอนเงินเข้าบัญชีโบรกเกอร์รายนี้อย่างน้อย 11 ครั้ง รวมวงเงินกว่า 63 ล้านบาท ขณะที่ยอดเงินหมุนเวียนในระบบพนันออนไลน์ที่เชื่อมโยงกับบัญชีพระธรรมวชิรานุวัตรพุ่งสูงกว่า 500 ล้านบาท
โบรกเกอร์สาววัย 26 กับเครือข่ายเว็บพนันรายใหญ่
หญิงสาวผู้รับโอนเงินจากพระธรรมวชิรานุวัตร ถูกเปิดเผยว่าเคยถูกตำรวจ บช.สอท. จับกุมเมื่อปี 2567 ในคดีเกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์รายใหญ่ชื่อ “LAGALAXY911” และถูกศาลสั่งใส่กำไล EM ก่อนหลบหนีอีกครั้งเมื่อถูกออกหมายจับใหม่
เธอเป็นผู้ดูแลเส้นทางการเงินของเว็บพนันหลายแห่ง มีฐานอยู่ในจังหวัดนครปฐม และมีความเชื่อมโยงกับผู้มีอิทธิพลทั้งในและนอกเครื่องแบบ แหล่งข่าวตำรวจระบุว่า ขณะนี้หญิงสาวรายนี้หลบหนีไปซ่อนตัวที่คอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง
วิกฤติศรัทธา: พระชั้นผู้ใหญ่กระทำผิดธรรมวินัย
แม้ขณะนี้ยังไม่มีการจับสึกพระธรรมวชิรานุวัตรอย่างเป็นทางการ แต่ด้วยพฤติกรรมที่เข้าข่ายผิดพระธรรมวินัยอย่างร้ายแรง ส่งผลให้เกิดกระแสวิจารณ์ถึงความเสื่อมของสถาบันสงฆ์ และการเรียกร้องให้มีการตรวจสอบระบบการเงินของวัดทั่วประเทศอย่างเข้มงวด
การที่พระชั้นผู้ใหญ่กระทำการในลักษณะนี้ ยิ่งตอกย้ำความล้มเหลวของระบบกำกับดูแลกิจการศาสนา และตั้งคำถามถึงบทบาทของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการตรวจสอบเงินบริจาคและทรัพย์สินของวัด
บทวิเคราะห์: ศาสนา-สังคม-กฎหมาย กำลังเดินคนละทาง?
กรณี “เจ้าคุณแย้ม” ไม่ใช่ครั้งแรกที่พระสงฆ์มีชื่อเสียงตกเป็นข่าวอื้อฉาวในเรื่องการเงินและการพนัน แต่ครั้งนี้สะเทือนใจประชาชนเป็นพิเศษ เพราะเกี่ยวพันกับเงินบริจาคของพุทธศาสนิกชน ซึ่งควรนำไปใช้ในกิจของสงฆ์ ไม่ใช่ในการพนัน
คำถามสำคัญคือ เหตุใดระบบตรวจสอบทรัพย์สินวัดยังอ่อนแอ และเหตุใดเจ้าหน้าที่รัฐจึงไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลทางการเงินของวัดได้ทันเวลา ก่อนความเสียหายจะลุกลามถึงระดับ 500 ล้านบาท
การปฏิรูปวงการสงฆ์จึงไม่ใช่เพียงการลงโทษรายบุคคล แต่ต้องเริ่มจากการยกระดับความโปร่งใสและกลไกกำกับดูแลวัดอย่างเป็นระบบ เพื่อฟื้นศรัทธาของประชาชนและยับยั้งพฤติกรรมที่ทำลายศาสนา
ข้อมูล : thaipbs
