บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เผยข้อมูลล่าสุดว่า สินค้าจากต่างประเทศที่เข้าสู่ประเทศไทยมีมูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาทต่อปี โดยมากถึง 70% มาจาก แพลตฟอร์มอีมาร์เก็ตเพลส ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าระหว่าง จีนและสหรัฐฯ ที่ยังคงต้องจับตาอย่างใกล้ชิด ขณะที่ไตรมาสแรกของปี 2568 ไปรษณีย์ไทยมีรายได้รวม 5,945.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.83% และมีกำไรสุทธิพุ่งขึ้นถึง 227% อย่างไรก็ตาม ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ยังระบุว่าภาวะสงครามภาษีอาจกระทบปริมาณส่งออก ซึ่งส่งผลต่อรายได้ของไปรษณีย์ไทยโดยตรง พร้อมเร่งเดินหน้าแผนผลักดันผู้ประกอบการ SMEs ไทย ให้เติบโตในตลาดโลกผ่านโครงการสนับสนุนรอบด้าน เพื่อสร้างวอลลุ่มขาออกระหว่างประเทศให้มากขึ้น
จากสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศที่ยังคงผันผวน โดยเฉพาะความขัดแย้งด้านภาษีระหว่าง จีนและสหรัฐฯ ที่แม้ล่าสุดจะมีการตกลงระงับการเก็บภาษีตอบโต้กันชั่วคราวเป็นเวลา 90 วัน แต่ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะยุติลงจริงหรือไม่ ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนด้านต้นทุนและเส้นทางการขนส่ง

ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เปิดเผยว่า แม้ในไตรมาสแรกของปี 2568 บริษัทมีรายได้รวมเพิ่มขึ้นเป็น 5,945.09 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 534.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 227% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ยังไม่สามารถฟันธงได้ว่าปีนี้จะจบลงด้วยกำไร เนื่องจากผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากสงครามการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะธุรกิจ Cross Border (ขนส่งระหว่างประเทศ) ที่ไปรษณีย์ไทยมีรายได้จากช่องทางนี้ราว 2,100 ล้านบาทต่อปี แต่ยอดส่งออกในปัจจุบันลดลงแล้วถึง 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ดร.ดนันท์ ระบุว่า สินค้า Cross Border ที่หลั่งไหลเข้ามาในไทยมีมูลค่าสูงถึง 1 แสนล้านบาทต่อปี โดย 70% ของมูลค่านี้อยู่ในแพลตฟอร์ม อีมาร์เก็ตเพลส ซึ่งส่วนใหญ่มิได้ใช้บริการของไปรษณีย์ไทย แต่เลือกใช้บริษัทขนส่งต่างประเทศที่พูดภาษาเดียวกันหรือให้บริการในเครือข่ายของตนเอง การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ส่งผลให้ไปรษณีย์ไทยจำเป็นต้องหันมาสร้างวอลลุ่มส่งออกจากผู้ประกอบการในประเทศ เพื่อรักษารายได้จากภาคขาออกไว้ให้ได้
ในขณะเดียวกัน ไปรษณีย์ไทยยังคงเดินหน้าขยายเครือข่ายจัดส่งระหว่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันสามารถจัดส่งไปยัง 205 ปลายทางใน 193 ประเทศทั่วโลก โดยตลาดส่งออกหลัก 5 อันดับแรกของไปรษณีย์ไทย ได้แก่ สหรัฐอเมริกา, ญี่ปุ่น, เกาหลี, อังกฤษ และ อิสราเอล พร้อมทั้งอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรรายใหม่อีก 4-5 ราย เพื่อเพิ่มเส้นทางการขนส่งในอนาคต
เพื่อเสริมความแข็งแกร่งจากฐานลูกค้าภายในประเทศ ไปรษณีย์ไทยได้ร่วมมือกับ สภาเอสเอ็มอี เพื่อยกระดับศักยภาพของผู้ประกอบการ SMEs ไทย ให้สามารถขยายตลาดไปต่างประเทศได้จริง โดยพัฒนาใน 8 ด้านสำคัญ ได้แก่ การเข้าถึงแหล่งทุน ระบบชำระเงิน ระบบขนส่ง โครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ กฎหมาย ช่องทางอีคอมเมิร์ซ การส่งเสริมองค์ความรู้ และการรวมกลุ่มของผู้ประกอบการ

“ธุรกิจของเราจะอยู่ได้ ก็ต่อเมื่อผู้ประกอบการขายของได้ เราจึงต้องลงไปช่วยยกระดับเขาให้ขายดีขึ้น ไม่ใช่รอรับของอย่างเดียว” ดร.ดนันท์ กล่าว พร้อมย้ำว่า ไปรษณีย์ไทยกำลังเปลี่ยนบทบาทจากผู้ให้บริการขนส่งมาเป็นพาร์ทเนอร์ในการผลักดันธุรกิจไทยสู่ตลาดโลก
แม้ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากผู้เล่นรายอื่นในตลาด แต่ ไปรษณีย์ไทยยังคงเป็นผู้นำตลาดการขนส่งพัสดุภัณฑ์ระหว่างประเทศ ด้วยส่วนแบ่ง 30% เหนือคู่แข่งอย่าง Flash Express (27%) และ J&T (23%) ซึ่งสะท้อนจากจำนวนพัสดุและรายได้เฉลี่ยต่อชิ้นที่เพิ่มขึ้นถึง 10% ตอกย้ำความเชื่อมั่นของลูกค้าที่พร้อมจ่ายเพื่อบริการที่มีคุณภาพและเชื่อถือได้
“เราแข่งด้วยคุณภาพ ไม่ใช่แค่โลโก้หรือยูนิฟอร์ม แต่รวมถึงความไว้วางใจจากลูกค้า ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 97%” ดร.ดนันท์ กล่าวทิ้งท้าย พร้อมระบุว่า การลงทุนพัฒนาคุณภาพการบริการในช่วงที่ผ่านมาเริ่มส่งผลชัดเจน และจะเป็นหัวใจหลักในการรักษาความเป็นผู้นำของไปรษณีย์ไทยในตลาด Cross Border Logistics ต่อไป
ข้อมูล/ภาพ : positioningmag