3 แอปฯ เดลิเวอรี่จีนในไทย บริการเพื่อคนจีนโดยเฉพาะ

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การเติบโตของนักท่องเที่ยวจีนในประเทศไทยได้นำไปสู่การเกิดขึ้นของแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่จากประเทศจีน ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานของชาวจีนโดยเฉพาะ ปัจจุบันมีอย่างน้อย 3 แอปฯ หลักในตลาด ได้แก่ Gokoo, Feixiang และ E-GetS ซึ่งให้บริการครบครันตั้งแต่สั่งอาหาร จองโรงแรม ไปจนถึงบริการวีซ่า โดยแต่ละแพลตฟอร์มมีจุดแข็งที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตของผู้ใช้งานจีนในไทย โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวหลักอย่างกรุงเทพฯ และพัทยา ท่ามกลางความนิยม ยังมีคำถามด้านความโปร่งใสและผลกระทบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นที่ควรจับตามองอย่างใกล้ชิด

ในยุคที่แอปพลิเคชันเดลิเวอรี่กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ผู้บริโภคชาวจีนที่เดินทางหรือพำนักอยู่ในประเทศไทยก็ต้องการความสะดวกในแบบที่คุ้นเคยเช่นกัน ด้วยข้อจำกัดด้านภาษาและพฤติกรรมผู้บริโภค ทำให้แอปฯ เดลิเวอรี่สัญชาติจีนที่ออกแบบมาเพื่อคนจีนกลายเป็นช่องทางตอบโจทย์ได้อย่างลงตัว

Gokoo (โกคู) ก่อตั้งโดยบริษัท โกคูออนไลน์ จำกัด ในปี 2020 เป็นแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้ชาวจีนในไทยมากกว่า 1 แสนราย และร้านค้าพันธมิตรกว่า 25,000 ราย ภายในแอปฯ มีบริการหลากหลายทั้ง สั่งอาหาร, จองร้าน, บริการแม่บ้าน, ซื้อของซูเปอร์มาร์เก็ต, บริการวีซ่า, ที่พัก, สุขภาพ และอสังหาริมทรัพย์ นอกจากนี้ยังมีระบบ Gokoo Pay ที่รองรับการชำระเงินทั้งหยวนและเงินบาท ผ่าน QR Code, WeChat และ Alipay อีกทั้งยังสามารถเลือกไรเดอร์ที่พูดได้ทั้ง ภาษาไทย หรือ ภาษาจีน เพิ่มความสะดวกให้กับผู้ใช้

อีกหนึ่งแอปฯ คือ Feixiang (เฟยเซี่ยง) หรือ “ช้างบิน” เปิดให้บริการครั้งแรกที่เมืองพัทยาในปี 2018 โดยมีต้นแบบจาก Meituan Dianping แอปรีวิวและส่งอาหารชื่อดังของจีน ซึ่ง Feixiang ให้บริการผ่าน Mini Program บน WeChat ไม่ต้องดาวน์โหลดแอปฯ แยก ระบบการใช้งานทั้งหมดเป็นภาษาจีน ไม่ว่าจะเป็นอินเทอร์เฟซ เมนู คูปอง หรือรีวิว สร้างประสบการณ์ที่ชาวจีนคุ้นเคย และเน้นกลุ่มลูกค้าชาวจีนอย่างชัดเจน

ส่วน E-GetS เป็นผู้เล่นใหม่ในตลาดไทยที่เปิดตัวเมื่อปี 2024 โดย บริษัท อี-เก็ตส์ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด หลังประสบความสำเร็จในกัมพูชาและประเทศเพื่อนบ้าน E-GetS มีความโดดเด่นที่รองรับหลายภาษา ไม่ว่าจะเป็น จีน, ไทย, อังกฤษ, เวียดนาม, ลาว, กัมพูชา, ญี่ปุ่น, เกาหลี และอินโดนีเซีย จึงขยายกลุ่มเป้าหมายได้กว้างกว่า Gokoo และ Feixiang พร้อมทั้งทำโปรโมชั่นดึงดูดตลาด เช่น จับมือกับแบรนด์ Mixue จำหน่ายของหวานในราคาพิเศษเพียง 10 บาท และขยายพื้นที่ให้บริการอย่างรวดเร็วในเขตกรุงเทพฯ และพัทยา

แม้ภาพรวมของแอปฯ เหล่านี้จะตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวจีนและชุมชนจีนในไทยได้ดี แต่กลับมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ด้านความโปร่งใสทางธุรกิจ โดยเฉพาะ Gokoo ที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่าอาจเกี่ยวข้องกับ “ธุรกิจศูนย์เหรียญ” ซึ่งหมายถึงร้านอาหารหรือบริการที่ใช้วัตถุดิบ พนักงาน และระบบชำระเงินจากจีนโดยตรง โดยไม่หมุนเวียนรายได้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทยเท่าที่ควร

กรณีของ Gokoo ยังถูกวิจารณ์จากเพจ บิ๊กเกรียน ว่าจ้างไรเดอร์ที่พูดภาษาจีนได้จากกลุ่มแรงงานชาติพันธุ์ไทใหญ่ โดยใช้ระบบคัดเลือกที่เน้นการสื่อสารกับผู้ใช้ภาษาจีน ทำให้เกิดความกังวลเรื่องการจ้างงานและโอกาสของแรงงานไทย

แม้ทาง Gokoo ยืนยันว่าการรับสมัครไรเดอร์ต่างชาติต้องมีเอกสารถูกต้องตามกฎหมายไทย เช่น ใบขับขี่และใบอนุญาตทำงาน แต่ข้อสงสัยเรื่องการหลบเลี่ยงระบบภาษีและการผูกขาดการให้บริการยังเป็นประเด็นที่ภาครัฐต้องเข้ามาตรวจสอบอย่างรอบด้าน

ข้อมูล :positioningmag