เมื่อเวลา 05.32 น. ตามเวลาท้องถิ่นกรุงวาติกัน วันที่ 21 เมษายน 2568 สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ทรงสิ้นพระชนม์อย่างสงบ ณ สถานพยาบาลวาติกันในนครรัฐวาติกัน สิริพระชนมายุ 88 พรรษา โดยสำนักข่าววาติกันยืนยันข่าวดังกล่าวผ่านแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ ปิดฉากหนึ่งในยุคสมัยสำคัญของศาสนจักรโรมันคาทอลิก ซึ่งเต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง ความกล้าหาญในการเผชิญความขัดแย้ง และความตั้งใจฟื้นฟูศรัทธาของผู้คนต่อศาสนาในโลกยุคใหม่

โป๊ปพระองค์แรกจากลาตินอเมริกา
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส หรือ พระคาร์ดินัลฮอร์เฮ มาริโอ เบร์โกกลิโอ ทรงถือเป็นพระประมุของค์ที่ 266 แห่งศาสนจักรโรมันคาทอลิก และเป็นโป๊ปพระองค์แรกจากทวีปลาตินอเมริกา ทรงได้รับการเลือกตั้งจากสภานักบวช (Conclave) เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2556 แทนที่ สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ที่ทรงลาออกด้วยเหตุผลด้านสุขภาพ การเลือกโป๊ปจากประเทศกำลังพัฒนาและไม่ใช่เชื้อสายยุโรปถือเป็นเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของคริสตจักร โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาว่าตำแหน่งนี้ถูกผูกโยงกับวัฒนธรรมยุโรปมานานนับพันปี
เส้นทางชีวิตจากอาร์เจนตินาสู่บัลลังก์นักบุญเปโตร
โป๊ปฟรานซิสทรงเกิดเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 1936 ที่กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ในครอบครัวผู้อพยพชาวอิตาลี ก่อนเสด็จเข้าเป็นสมาชิกของ คณะเยซูอิต ซึ่งเน้นการศึกษาและภารกิจรับใช้ชุมชน พระองค์เคยทำงานในโรงงานเคมี และเป็นภารโรงก่อนเข้าสู่เพศสมณะ ถือเป็นเส้นทางชีวิตที่แตกต่างจากโป๊ปองค์ก่อน ๆ ที่ส่วนใหญ่มาจากชนชั้นสูงในยุโรป
แม้จะดำรงตำแหน่ง อัครสังฆราชแห่งบัวโนสไอเรส มานาน แต่พระองค์ทรงเลือกใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ไม่ยอมย้ายไปอยู่ในวังประจำตำแหน่ง และมักเดินทางโดยรถไฟใต้ดินแทนรถยนต์หรูหรา
การปฏิรูปภายในศาสนจักรและวิสัยทัศน์ด้านสังคม
ตลอด 12 ปีในตำแหน่ง พระสันตะปาปา โป๊ปฟรานซิสทรงขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงหลายด้านในคริสตจักร เช่น การตรวจสอบบัญชีและปฏิรูประบบการเงินของวาติกันซึ่งเต็มไปด้วยความไม่โปร่งใส ทรงเปิดโปงกรณีล่วงละเมิดทางเพศโดยบาทหลวง และสนับสนุนให้ศาสนจักรออกมาขอโทษเหยื่ออย่างเป็นทางการ
พระองค์ยังทรงเน้นเรื่องความยุติธรรมทางสังคม การดูแลสิ่งแวดล้อม และการยอมรับความหลากหลายทางเพศ โดยในเอกสารสมณสาส์น Laudato Si’ ทรงเรียกร้องให้โลกหยุดทำลายธรรมชาติ ขณะที่ในประเด็น LGBT แม้จะยังยึดหลักคำสอนดั้งเดิม แต่ก็ทรงกล่าวว่า “ใครเล่าจะเป็นผู้พิพากษา” ซึ่งเป็นวาทะที่สะท้อนมุมมองแห่งความเมตตา
ความขัดแย้งกับฝ่ายอนุรักษนิยม
การเปลี่ยนแปลงของพระองค์มิได้ราบรื่น โป๊ปฟรานซิสต้องเผชิญแรงต้านจากกลุ่มอนุรักษนิยมภายในวาติกัน ซึ่งมองว่าพระองค์นำศาสนจักรออกนอกแนวทางดั้งเดิม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบทบาทสตรีในคริสตจักร หรือการปรับมุมมองต่อครอบครัวที่หลากหลาย เช่น การอนุญาตให้ผู้หย่าร้างบางกรณีรับศีลมหาสนิทได้
กลุ่มอนุรักษ์นิยมบางส่วนถึงกับเรียกพระองค์ว่า “โป๊ปแห่งความสับสน” หรือกล่าวหาว่าทรงทำให้คำสอนของคริสต์สูญเสียเอกลักษณ์ อย่างไรก็ตามพระองค์ยังยึดมั่นในหลักการว่า “ศาสนจักรต้องเป็นบ้านของทุกคน ไม่ใช่กำแพงแบ่งแยก”
บทบาทต่อการเมืองและวิกฤตโลก
นอกจากบทบาททางศาสนาแล้ว โป๊ปฟรานซิสยังทรงมีบทบาทสำคัญในการทูตระหว่างประเทศ เช่น การเป็นตัวกลางเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่าง สหรัฐฯ กับ คิวบา ในยุคของ บารัก โอบามา การประณามสงครามในซีเรียและยูเครนอย่างต่อเนื่อง การเรียกร้องให้ประเทศร่ำรวยรับผิดชอบต่อวิกฤตผู้อพยพ และการยืนหยัดเคียงข้างชนพื้นเมืองทั่วโลก
พระองค์ยังทรงส่งเสริมบทบาทของศาสนาอื่น เช่น การเยือนมัสยิดในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และการพบปะกับผู้นำศาสนาอิสลามและยิว เพื่อส่งเสริมความเข้าใจระหว่างศาสนา
การสิ้นพระชนม์และการเปลี่ยนผ่าน
สำนักข่าววาติกัน ระบุว่าการสิ้นพระชนม์ของพระองค์เกิดขึ้นอย่างสงบหลังทรงเข้ารับการรักษาโรคปอดและภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังที่เคยเป็นมาตั้งแต่วัยหนุ่ม แม้กระทั่งในช่วงสุดท้ายของชีวิต พระองค์ยังทรงปฏิบัติหน้าที่จนเกือบถึงวันสุดท้าย โดยในสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ของเดือนเมษายน ยังทรงนำพิธีกรรมสำคัญตามประเพณีคริสต์
การสิ้นพระชนม์ของโป๊ปฟรานซิสไม่เพียงหมายถึงการสิ้นสุดของพระสังฆราชแห่งโรมเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญะของการเปลี่ยนผ่านยุคสมัยในศาสนจักรโรมันคาทอลิก ที่ต้องเผชิญกับคำถามใหม่ ๆ ทั้งในเรื่องศรัทธา ความหลากหลาย และบทบาทของศาสนาในโลกปัจจุบัน
ข้อมูล / ภาพ : bbc
เครดิตภาพ themomentum