บุหรี่ไฟฟ้าการ์ตูน ล่อลวงเยาวชนไทย สูบพุ่ง 12.2% เสี่ยงโรคจิตและภาระค่าใช้จ่าย 300 ล้าน

การใช้บุหรี่ไฟฟ้าการ์ตูนในกลุ่มเยาวชนไทยเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่ากังวล โดยเฉพาะในกลุ่มอายุ 15-29 ปี ที่มีอัตราการสูบพุ่งถึง 12.2% จากการสำรวจล่าสุด ในขณะที่ 6 ใน 10 ของเยาวชนเคยเห็นโฆษณาชวนลองทางออนไลน์ ซึ่งเป็นการส่งเสริมพฤติกรรมเสี่ยงที่ไม่เพียงแต่กระทบสุขภาพ แต่ยังส่งผลเสียทางเศรษฐกิจและสังคม โดยค่ารักษาพยาบาลที่เกิดจากการใช้บุหรี่ไฟฟ้าการ์ตูนในปี 2567 คาดว่าจะสูงถึงกว่า 300 ล้านบาท ขณะเดียวกันแพทย์เตือนว่า การสูบบุหรี่ไฟฟ้าการ์ตูนมีความเสี่ยงที่จะเพิ่มภาวะซึมเศร้าและฆ่าตัวตายในเยาวชน โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีปัญหาสุขภาพจิตอยู่แล้ว

ในเวทีเสวนาวิชาการ “บุหรี่ไฟฟ้า ภัยเงียบที่คุณต้องรู้ ก่อนสุขภาพจะพัง” จัดโดยมูลนิธิเพื่อการพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ และได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เมื่อไม่นานนี้ ศ.พญ.สุวรรณา เรืองกาญจนเศรษฐ์ รองผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ระบุว่า การสูบบุหรี่ไฟฟ้าเป็นพฤติกรรมเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่อทั้งสุขภาพของประชาชนและเศรษฐกิจประเทศอย่างมีนัยสำคัญ

ข้อมูลจากการประเมินเบื้องต้นปี 2567 โดยคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า ค่ารักษาพยาบาลระยะยาวจาก 4 โรคหลักที่เกี่ยวข้องกับการสูบบุหรี่ไฟฟ้า ได้แก่ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจขาดเลือด และโรคหอบหืด มีมูลค่ารวมสูงถึง 306,636,973 บาท ต่อปี

นอกจากนี้ ยังพบความเชื่อมโยงระหว่างการใช้บุหรี่ไฟฟ้ากับภาวะป่วยทางจิตเวชอย่างชัดเจน จากผลการศึกษาในปี 2568 ผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้ามีความเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้าสูงถึง 1.58 เท่า และมีโอกาสฆ่าตัวตายสูงถึง 2.05 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่เคยใช้บุหรี่ไฟฟ้า

รศ.ดร.ภญ.มนทรัตม์ ถาวรเจริญทรัพย์ จากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เสริมว่า จากแบบจำลองต้นทุนเศรษฐศาสตร์ในปี 2562–2563 พบว่า การเริ่มใช้บุหรี่ไฟฟ้าตั้งแต่อายุยังน้อยสามารถเพิ่มความเสี่ยงในการหันไปสูบบุหรี่มวนได้ถึง 3.5 เท่า และนำไปสู่การติดสารนิโคตินอย่างรุนแรง โดยผู้ชาย 1 คนที่เริ่มใช้บุหรี่ไฟฟ้าตั้งแต่อายุ 15 ปี จะก่อให้เกิดต้นทุนค่ารักษาพยาบาลตลอดชีวิตมากถึง 2,637,414 บาท โดยเฉลี่ย

ขณะเดียวกัน ผลสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกายครั้งที่ 7 (ปี 2567–2568) ซึ่งดำเนินการโดยคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ร่วมกับ สสส. และ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) พบว่า ในกลุ่มเยาวชนอายุ 15-29 ปี มีอัตราการใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มจาก 5.8% ในปี 2562 เป็น 12.2% ในปัจจุบัน โดยรูปแบบที่นิยมในกลุ่มนี้คือ บุหรี่ไฟฟ้าการ์ตูน ซึ่งมีลักษณะเป็นสีสันสดใส รูปทรงน่ารัก และมีรสชาติหวานล่อใจ

รศ.ดร.พญ.เริงฤดี ปธานวนิช แห่งภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ชี้ว่า เยาวชนกลายเป็นกลุ่มเป้าหมายของตลาดบุหรี่ไฟฟ้าอย่างชัดเจน ด้วยการใช้กลยุทธ์โฆษณาผ่านสื่อออนไลน์ ซึ่งทำให้ผู้ปกครองและสังคมไม่ทันระวังภัย ทั้งนี้ ข้อมูลการสำรวจเผยว่า 6 ใน 10 ของเยาวชนเคยเห็นโฆษณาหรือข้อความชวนลองบุหรี่ไฟฟ้าทางออนไลน์ และมากกว่า 11% เคยได้รับบุหรี่ไฟฟ้าทดลองใช้ฟรี

การสำรวจ Global Youth Tobacco Survey (GYTS) ปี 2565 ยังเผยข้อมูลน่าตกใจว่า เยาวชนมีโอกาสเข้าถึงบุหรี่ได้ง่ายขึ้นกว่าในอดีต โดยการซื้อบุหรี่เป็นมวนเพิ่มจาก 19.6% ในปี 2558 เป็น 37.4% ในปี 2565 และยังพบว่าสิ่งของที่มีโลโก้ผลิตภัณฑ์ยาสูบ เช่น เสื้อ หมวก หรือกระเป๋า มีอัตราเพิ่มขึ้นจาก 10.5% เป็น 12.5%

ผศ.ดร.ศรัณญา เบญจกุล จากคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ย้ำว่า การควบคุมการโฆษณาผลิตภัณฑ์ยาสูบบนสื่อออนไลน์เป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วน พร้อมเสนอให้ภาครัฐออกมาตรการที่เข้มข้นขึ้นในการจำกัดการเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าของเยาวชน เช่น การควบคุมภาพลักษณ์สินค้าที่ล่อตาล่อใจ การสอดส่องตลาดออนไลน์อย่างเข้มงวด และการรณรงค์สร้างความรู้ต่อเนื่อง

จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นชัดเจนว่า บุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้เป็นเพียงแค่ “ของเล่นใหม่” ในสายตาวัยรุ่น แต่กลายเป็นต้นเหตุของปัญหาสุขภาพจิต เศรษฐกิจ และสังคมที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ หากไม่รีบจัดการอย่างจริงจัง

ข้อมูล : bangkokbiznews

ภาพจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุน การสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)