ศาลตัดสินคดี “พิรงรอง” อาจส่งผลกระทบต่อหลักนิติรัฐ
วันที่ 5 มีนาคม 2568 นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับคำตัดสินของศาลในคดีที่ ทรู ไอดี ฟ้องร้อง น.ส.พิรงรอง รามสูต กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) โดยเขาแสดงความกังวลว่า คดีนี้อาจส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อระบบยุติธรรมไทย การทำงานของหน่วยงานรัฐ และบทบาทของผู้ที่ทำงานเพื่อประโยชน์สาธารณะ
ความแปลกใจและความกังวลของนักวิชาการ
นายสมเกียรติระบุว่า ตนตั้งใจจะเขียนเกี่ยวกับคำตัดสินของศาลตั้งแต่ได้รับทราบคำพิพากษาฉบับเต็ม แต่เนื่องจากติดภารกิจเดินทางไปต่างประเทศ จึงเพิ่งมีโอกาสออกมาแสดงความคิดเห็นในขณะนี้ เขายังกล่าวว่า ในฐานะนักวิชาการที่ติดตามอุตสาหกรรมโทรคมนาคมและสื่อมวลชนมาอย่างยาวนาน รวมถึงเคยเป็นพยานฝ่ายจำเลยในคดีนี้ เขารู้สึกทั้งแปลกใจและเศร้าใจกับคำตัดสินดังกล่าว
สิ่งที่ทำให้เขากังวลเป็นพิเศษคือ การที่ศาลตัดสินลงโทษจำเลย ทั้งที่ น.ส.พิรงรอง ดำเนินการในนามสำนักงาน กสทช. และเป็นไปตามข้อกำหนดของกฎหมายที่มีอยู่ โดยเฉพาะกฎ Must Carry ที่ระบุให้ผู้ประกอบการโทรทัศน์ต้องเผยแพร่รายการผ่านผู้ที่ได้รับใบอนุญาตจาก กสทช. เท่านั้น นอกจากนี้ ศาลยังเชื่อว่าจำเลยปลอมแปลงเอกสาร ทั้งที่เอกสารดังกล่าวได้รับการรับรองจากคณะอนุกรรมการที่เกี่ยวข้องแล้ว
ผลกระทบต่อสังคมไทยจากคดี “พิรงรอง”
แม้ว่าคำตัดสินในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกาอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เป็นคุณต่อจำเลย เช่น อาจมีการยกฟ้องหรือให้รอลงอาญา แต่ผลกระทบต่อสังคมไทยจากคดีนี้ก็ได้เกิดขึ้นแล้ว โดยนายสมเกียรติระบุว่า มีผลกระทบสำคัญอย่างน้อย 3 ประการที่ต้องพิจารณา
1. ผลกระทบต่อผู้ทำงานเพื่อประโยชน์สาธารณะ
คดีนี้อาจเป็นแบบอย่างให้กลุ่มทุนใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือฟ้องร้องบุคคลที่มีความคิดเห็นแตกต่าง โดยเฉพาะในลักษณะของ SLAPP (Strategic Lawsuit Against Public Participation) หรือการฟ้องร้องเพื่อปิดปาก ซึ่งแนวโน้มการใช้วิธีนี้เพิ่มขึ้นในประเทศไทย ปรากฏอยู่ในรายงานของสมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน ซึ่งชี้ให้เห็นว่ากฎหมายถูกใช้เพื่อลิดรอนสิทธิในการแสดงความคิดเห็นและขัดขวางการทำงานเพื่อสังคม
2. ผลกระทบต่อการทำงานของหน่วยงานรัฐ
คำตัดสินนี้ส่งสัญญาณว่าข้าราชการและผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงานรัฐอาจต้องเผชิญกับความเสี่ยงทางกฎหมาย หากการตัดสินใจของพวกเขาส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ กรณีนี้อาจก่อให้เกิด “ภาวะเย็นชา” (Chilling Effect) ซึ่งทำให้เจ้าหน้าที่รัฐเลือกที่จะไม่ดำเนินการกับประเด็นที่อ่อนไหวหรือขัดแย้งกับผลประโยชน์ของภาคเอกชนเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาทางกฎหมายในอนาคต
3. ผลกระทบต่อหลักนิติรัฐและความเชื่อมั่นของประชาชน
นายสมเกียรติเตือนว่าคดีนี้สะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ศาลตัดสินลงโทษจำเลยโดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจนเพียงพอ ซึ่งขัดต่อหลักการ “Beyond a Reasonable Doubt” ของกฎหมายอาญา เขายังตั้งคำถามเกี่ยวกับระบบการอบรมของสำนักงานศาลยุติธรรม ที่เปิดโอกาสให้นักธุรกิจเข้าร่วมอบรมและพบปะกับผู้พิพากษา ซึ่งอาจนำไปสู่ข้อกังวลเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนและความไม่โปร่งใสของกระบวนการพิจารณาคดี
การพิจารณาคดีที่ส่งผลกระทบต่อระบบยุติธรรม
นายสมเกียรติชี้ให้เห็นว่า ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ใช้วิธีไต่สวน ซึ่งแตกต่างจากการพิจารณาคดีอาญาทั่วไปที่ใช้ระบบกล่าวหา (Adversarial System) โดยปกติแล้ว ระบบกล่าวหาจะเปิดโอกาสให้โจทก์และจำเลยสามารถหักล้างกันได้อย่างเท่าเทียม แต่การใช้วิธีไต่สวนทำให้ศาลมีอำนาจกำหนดแนวทางของคดีมากขึ้น หากไม่มีเหตุผลที่ชัดเจนเพียงพอ อาจนำไปสู่ข้อกังขาต่อความยุติธรรมในกระบวนการพิจารณาคดี
นอกจากนี้ นายสมเกียรติยังเสนอให้มีการ สัมมนาภายในศาลยุติธรรม เพื่อกำชับให้ผู้พิพากษาให้เหตุผลในการตัดสินคดีอย่างชัดเจน รอบด้าน และเป็นธรรม พร้อมทั้งเสนอให้ทบทวนหลักสูตรอบรมของสำนักงานศาลยุติธรรม เพื่อให้มั่นใจว่ามีมาตรฐานที่เป็นอิสระและโปร่งใส
“คดีของ น.ส.พิรงรอง รามสูต อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของระบบยุติธรรมไทย ไม่เพียงแต่ในแง่ของความเป็นอิสระของศาล แต่ยังรวมถึงสิทธิของประชาชนในการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายสาธารณะและต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม”
นายสมเกียรติย้ำว่า ระบบยุติธรรมต้องไม่เพียงแต่ทำให้เกิดความยุติธรรม แต่ต้องทำให้สังคมเชื่อมั่นว่าความยุติธรรมเกิดขึ้นจริง (Justice must not only be done, but must also be seen to be done) และคดีนี้เป็นตัวอย่างสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนต่อศาลในระยะยาว

ข้อมูล / ภาพ : ข่าวสด