ระบบเตือนภัยแผ่นดินไหวไทยสะดุด ประชาชนจี้รัฐ-กสทช. เร่งแก้

การแจ้งเตือนแผ่นดินไหวล่าช้าเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 กลายเป็นประเด็นร้อน เมื่อภาคประชาชนและเครือข่ายผู้บริโภค ร่วมตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพของระบบเตือนภัยฉุกเฉินที่ไม่ทันการณ์ โดยเฉพาะการจัดการคลื่นความถี่ของรัฐบาลและ กสทช. ที่ยังไม่มีความพร้อมด้านเทคโนโลยีและการสื่อสาร ส่งผลให้เสียงเตือนภัยมาถึงมือประชาชนล่าช้าหลายชั่วโมงหรือข้ามวัน

ระบบแจ้งเตือนภัยแผ่นดินไหว, กสทช., Cell Broadcast, คลื่นความถี่, แผ่นดินไหว 28 มีนาคม,
แผ่นดินไหว ภัยธรรมชาติ กับประสิทธิภาพการจัดการคลื่นความถี่ของรัฐบาลและกสทช

เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2568 เครือข่ายประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจและสภาองค์กรของผู้บริโภค ได้จัดเวทีถกปัญหาเกี่ยวกับความล่าช้าและความล้มเหลวของ ระบบแจ้งเตือนภัยแผ่นดินไหว ที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์เมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา โดยมีประชาชนจำนวนมากร้องเรียนว่าได้รับ SMS แจ้งเตือนล่าช้า หลายชั่วโมง หรือบางรายไม่ได้รับข้อความเลย สะท้อนถึงจุดอ่อนในระบบเตือนภัยของภาครัฐ

สุภิญญา กลางณรงค์ ประธานอนุกรรมการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาองค์กรของผู้บริโภค ระบุว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็น “โศกนาฏกรรมทางการสื่อสาร” ของรัฐบาลและ กสทช. โดยเฉพาะเมื่อ ระบบ Cell Broadcast ซึ่งเป็นเทคโนโลยีแจ้งเตือนภัยแบบเฉพาะพื้นที่ ยังไม่สามารถใช้งานได้จริง แม้จะเริ่มดำเนินการตั้งแต่กลางปี 2567 แล้วก็ตาม

สุภิญญา กล่าวเพิ่มเติมว่า การที่หน่วยงานที่รับผิดชอบไม่สามารถบริหารสถานการณ์ได้ทันท่วงที สะท้อนถึงปัญหาทั้งในระดับการบริหารจัดการและการขาดเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ พร้อมตั้งคำถามว่า กสทช. ได้ติดตามความคืบหน้าของโครงการ Cell Broadcast อย่างไร และเหตุใดถึงยังไม่สามารถใช้งานได้ในยามวิกฤต

ด้าน นาวาอากาศตรี ศิธา ทิวารี ประธานองค์กรส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรมและต่อต้านการผูกขาด เปรียบเทียบระบบเตือนภัยแผ่นดินไหวของไทยกับประเทศที่มีความพร้อมอย่างญี่ปุ่น พบว่าระบบของไทยยังขาดความสามารถในการแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์ และยังไม่มีการติดตั้ง ระบบเซนเซอร์จับแรงสั่นสะเทือนอัตโนมัติ อย่างเป็นระบบทั่วประเทศ ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดความเสียหายจากภัยธรรมชาติ

นาวาอากาศตรี ศิธา ยังเสนอว่า รัฐบาลควรมีการออกแบบระบบแจ้งเตือนใหม่ทั้งหมดให้สามารถส่งสัญญาณแบบเรียลไทม์ เพื่อให้ประชาชนสามารถเตรียมตัวรับมือได้ทัน และควรติดตั้งอุปกรณ์ควบคุมอัตโนมัติในอาคารสูง หรือระบบส่งสัญญาณฉุกเฉินในระดับพื้นที่ เพื่อให้ทุกภาคส่วนมีข้อมูลพร้อมเพียงกันในช่วงวิกฤต

ในการหารือยังมีการตั้งคำถามถึงสถานะของ ประธาน กสทช. ที่ยังคงดำรงตำแหน่งแม้จะมีคำวินิจฉัยของ คณะกรรมาธิการวุฒิสภา ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่ปี 2567 แต่ยังไม่มีการดำเนินการจาก นายกรัฐมนตรี ส่งผลให้ภาคประชาชนเรียกร้องให้มีการตรวจสอบอย่างเร่งด่วน และปลดออกจากตำแหน่งโดยเร็ว

นอกจากนี้ ยังมีการตั้งข้อสังเกตถึงการดำเนินงานของกรรมการ กสทช. รายอื่น โดยเฉพาะกรณี ศาสตราจารย์กิตติคุณ พิรงรอง รามสูต ที่อยู่ในชั้นรออุทธรณ์ของคดีฟ้องร้อง และประเด็นที่คณะกรรมการมีมติเลื่อนการประมูลคลื่นความถี่ออกไปพร้อมกันทั้งหมด ซึ่งอาจสุ่มเสี่ยงต่อการเปิดทางให้กลุ่มทุนขนาดใหญ่ผูกขาดคลื่นความถี่

การตั้งคำถามจากภาคประชาชนในครั้งนี้ จึงไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของ “ข้อความ SMS ที่มาช้า” แต่สะท้อนถึงความเปราะบางของระบบสื่อสารฉุกเฉินในยามภัยพิบัติ และความจำเป็นเร่งด่วนที่รัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งปฏิรูประบบเตือนภัย และการบริหารจัดการคลื่นความถี่อย่างโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เทคโนโลยีทำงานได้จริงในเวลาที่ประชาชนต้องการมากที่สุด

ข้อมูล : thaipbs