สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) คาดการณ์แนวโน้มสตาร์ทอัพไทยในปี 2568 พบว่ามี 3 กลุ่มเทคโนโลยีที่มีโอกาสเติบโตสูง ได้แก่ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งขับเคลื่อนธุรกิจผ่าน Generative AI และ AI Agents, เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน (GreenTech) ที่เน้นพลังงานสะอาดและการจัดการสิ่งแวดล้อม และ เทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech) ที่ยังคงได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดย NIA พร้อมเดินหน้าสนับสนุนสตาร์ทอัพผ่านเครือข่ายและกลไกต่างๆ เพื่อผลักดันประเทศไทยสู่การเป็น “ชาตินวัตกรรม”
AI และการปฏิวัติธุรกิจผ่าน Generative AI และ AI Agents
ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) เปิดเผยว่า ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะ Generative AI ซึ่งสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมและต่อยอดไปยังอุตสาหกรรมต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่ AI Agents ซึ่งมีความสามารถในการคิด วิเคราะห์ และตัดสินใจเองได้ กำลังกลายเป็นหัวใจสำคัญขององค์กรในการเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้ทรัพยากร
นอกจากนี้ การลงทุนใน ธุรกิจ Data Center กำลังขยายตัวในไทยอย่างรวดเร็ว โดยบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง AWS, Microsoft, Google และ TikTok ได้เข้ามาลงทุนสร้างศูนย์ Data Center ทำให้ตลาดนี้เติบโตขึ้นกว่า 54% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่าในช่วงปี 2567 – 2570 ประเทศไทยจะดึงดูดเงินลงทุนในธุรกิจนี้ได้ราว 7.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งส่งผลให้เกิดความต้องการแรงงานที่มีทักษะสูงในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบ AI อย่างต่อเนื่อง

GreenTech: อนาคตของธุรกิจที่ยั่งยืน
สตาร์ทอัพสาย GreenTech, CleanTech และ Climate Tech กำลังได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก เนื่องจากประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนมีความสำคัญมากขึ้น ธุรกิจที่มุ่งเน้นการใช้พลังงานสะอาด การจัดการขยะ และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จึงเป็นที่ต้องการของตลาด โดยคาดการณ์ว่าตลาดโลกของ GreenTech จะเติบโตเฉลี่ย 25% ในช่วง 10 ปีข้างหน้า
นักลงทุนเริ่มให้ความสำคัญกับ Non-Financial Data ซึ่งรวมถึงข้อมูลด้าน ESG (Environment, Social, Governance) เพื่อประเมินผลกระทบของธุรกิจต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม สตาร์ทอัพไทยจึงต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับมาตรการทางการค้าต่างๆ เช่น Carbon Footprint, Non-Tariff Barriers (NTBs) และกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมของยุโรปที่มุ่งสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality ภายในปี 2050 และ Net Zero Emissions ภายในปี 2065
FinTech ยังคงเป็นผู้นำด้านการระดมทุน
ธุรกิจ FinTech ยังคงเป็นกลุ่มที่สามารถดึงดูดการลงทุนได้สูงสุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีอัตราการระดมทุนในรอบ Seed สูงถึง 26% ในปี 2567 รองลงมาคือ Blockchain ที่ 20% สะท้อนถึงศักยภาพของเทคโนโลยีทางการเงินที่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจดิจิทัล
สำหรับประเทศไทย ธุรกิจ FinTech และ Logistics Tech ยังคงเป็นกลุ่มที่สามารถเติบโตและได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุน ในขณะที่กลุ่ม BioTech, AgriTech, FoodTech, TravelTech และ EdTech กำลังเป็นที่จับตามอง โดยเฉพาะกลุ่ม HealthTech ที่มีอัตราการเติบโตสูงสุด
NIA พร้อมผลักดันสตาร์ทอัพไทยสู่เวทีโลก
สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ยังคงให้การสนับสนุนสตาร์ทอัพไทยอย่างต่อเนื่อง ผ่านบทบาท Focal Conductor ในการส่งเสริม Impact Tech เพื่อสร้าง Impactful Innovation หรือ นวัตกรรมที่มีผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยในปี 2567 มีสตาร์ทอัพไทยกว่า 2,100 ราย แบ่งเป็นระยะ Pre-seed 700 ราย และระยะ Go-to-market หรือ Growth 1,400 ราย ขณะที่สตาร์ทอัพที่ยังดำเนินกิจการอยู่มีประมาณ 800 ราย โดยส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่ม FinTech และ Business Solution
ในด้านการลงทุน ไทยมีสัดส่วนการระดมทุนในสตาร์ทอัพอยู่ที่ 4% ของอาเซียน และยังคงมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปี 2564-2567 โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจที่สามารถขยายไปสู่ตลาดต่างประเทศได้
ข้อมูล : thansettakij