บริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TRT ผู้นำตลาดหม้อแปลงไฟฟ้าและอุตสาหกรรมด้านพลังงานรายใหญ่ของไทย ก้าวสู่ปีที่ 40 ด้วยการดำเนินธุรกิจที่มุ่งมั่นพัฒนาอย่างยั่งยืน พร้อมประกาศแผนธุรกิจปี 2568 โดยตั้งเป้าหมายรักษารายได้รวมที่ 3,000 ล้านบาท ในขณะที่การเติบโตคาดว่าจะต่ำกว่า 5% เนื่องจากสถานการณ์โลกที่ยังคงมีความไม่แน่นอน พร้อมเดินหน้าตามแผนกลยุทธ์ Zero Carbon Footprint ที่จะบรรลุเป้าหมายภายในปี 2065 รวมทั้งมีการพัฒนา Green Product ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างผลกระทบเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมและสังคม
บริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TRT ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2528 และได้ก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมหม้อแปลงไฟฟ้าและธุรกิจด้านพลังงานของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2568 นี้ บริษัทก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่ 4 ของการดำเนินธุรกิจภายใต้ค่านิยมหลัก 4 ประการ ซึ่งได้แก่ 1. การทำงานเป็นทีม (Teamwork) 2. การทำงานด้วยคุณภาพ (Quality) 3. การทำงานด้วยคุณธรรม (Integrity) และ 4. การยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Focus) ซึ่งการบริหารงานภายใต้ค่านิยมเหล่านี้ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้บริษัทสามารถรักษาความเป็นผู้นำในตลาดได้อย่างยาวนานและยังคงเป็นที่น่าเชื่อถือทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ในปี 2568 นี้ ถิรไทย ตั้งเป้าหมายรายได้รวมที่ 3,000 ล้านบาท ซึ่งหากเทียบกับปี 2567 ที่มีรายได้รวม 2,881.98 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้สูงสุดในรอบ 4 ปี คาดว่าอัตราการเติบโตจะอยู่ที่ประมาณ 4-5% เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังคงมีความไม่แน่นอนและตัวแปรที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ เช่น ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอนและการเกิดสงครามการค้าในหลายพื้นที่ทั่วโลก ทั้งนี้ การมุ่งเน้นที่การพัฒนาผลิตภัณฑ์และการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืนผ่านการพัฒนา Green Product ซึ่งเป็นสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาธุรกิจของบริษัท

นาย สัมพันธ์ วงษ์ปาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการของ ถิรไทย เปิดเผยว่า บริษัทจะเดินหน้าแผนการดำเนินธุรกิจที่ยึดหลักการประหยัดพลังงานและการไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม โดยตั้งเป้าหมายในการก้าวสู่ Zero Carbon Footprint ภายในปี 2065 (ค.ศ. 2065) ซึ่งสอดคล้องกับแนวนโยบายของภาครัฐที่ต้องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ บริษัทได้เริ่มดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิด Green Business และพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มุ่งเน้นการรักษาสิ่งแวดล้อมไปแล้วตั้งแต่ช่วงปลายปี 2567 จนได้รับรางวัล “อุตสาหกรรมดีเด่นประจำปี 2567” หรือ THE PRIME MINISTER’S INDUSTRY AWARD 2024 ในประเภทอุตสาหกรรมเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ซึ่งถือเป็นการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน
สำหรับปี 2568 บริษัทตั้งเป้าหมายให้ธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้าซึ่งเป็นธุรกิจหลักเติบโต 4% โดยคาดว่าจะสามารถทำกำไรขั้นต้นในช่วง 18-20% โดยรักษามาตรฐานคุณภาพของสินค้าตามนโยบายที่ได้กำหนดไว้ในระยะยาว โดย กลุ่มธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้า เป็นกลุ่มที่มีรายได้หลักจากการจำหน่ายหม้อแปลงไฟฟ้าหนาแน่นจากลูกค้าภาครัฐทั้งการไฟฟ้านครหลวง (MEA) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) รวมถึงบริษัทเอกชนทั่วไป รวมทั้งการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ โดยในปี 2568 กลุ่มธุรกิจที่ไม่ใช่หม้อแปลงไฟฟ้า เช่น ธุรกิจแบตเตอรี่ลิเธียมและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเครื่องจักรกลอื่นๆ จะเติบโต 9% โดยมีกำไรขั้นต้นที่ประมาณ 18-20% เช่นเดียวกับกลุ่มธุรกิจหลัก
ในส่วนของผลการดำเนินงานในปี 2567 บริษัทมีกำไรขั้นต้น 639.95 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าประมาณ 100 ล้านบาท โดยมีอัตรากำไรขั้นต้น 22.5% แม้ว่าจะต่ำกว่าปีก่อนที่มีอัตรากำไรขั้นต้น 25.29% แต่ยังคงเป็นไปตามนโยบายการดำเนินธุรกิจที่รักษาระดับกำไรขั้นต้นให้มากกว่า 20% เพื่อให้เกิดความมั่นคงในการดำเนินงาน นอกจากนี้ บริษัทมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) จำนวน 1,394 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นยอดขายจากกลุ่มธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้า จำนวน 1,254 ล้านบาท และจากกลุ่มธุรกิจที่ไม่ใช่หม้อแปลงไฟฟ้า จำนวน 141 ล้านบาท ซึ่งบริษัทคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ในปี 2568 จำนวน 1,295 ล้านบาท และในปี 2569 จำนวน 100 ล้านบาท
นายกานต์ วงษ์ปาน เลขานุการบริษัทและผู้จัดการฝ่ายการเงินบัญชีและเทคโนโลยีสารสนเทศ กล่าวว่า ในปี 2567 บริษัทมีรายได้รวม 2,881.98 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการขายและบริการ 2,844.19 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิ 222.65 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 7.73% ซึ่งเป็นกำไรสุทธิสูงสุดในรอบ 4-5 ปีที่ผ่านมา โดยรายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทมาจากธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้า โดยมีลูกค้าหลักเป็นหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งสร้างรายได้รวม 2,617 ล้านบาท ทั้งจากการขายในประเทศและการส่งออก ในขณะที่ธุรกิจที่ไม่ใช่หม้อแปลงไฟฟ้ามีรายได้ 265 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าอย่างมาก
จากผลการดำเนินงานที่ผ่านมา ถิรไทย ยังคงรักษาระดับความมั่นคงของธุรกิจและเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์โลกที่มีความท้าทาย รวมถึงการขยายตลาดไปยังกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนในอนาคต บริษัทจึงจะยังคงเดินหน้าในการพัฒนานวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อรองรับความต้องการของตลาดและสร้างความเชื่อมั่นในตัวผลิตภัณฑ์ที่ส่งมอบให้กับลูกค้าอย่างดีที่สุด
