การเมืองสู้รบ กระทบเศรษฐกิจ

นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ทนายความได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ขอให้สั่งให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และพรรคเพื่อไทย ยุติการใช้สิทธิและเสรีภาพนำไปสู่การล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49

โดยระบุ 6 พฤติการณ์ที่เข้าข่ายคือ 1.หลังได้รับพระราชทานอภัยโทษให้เหลือโทษจำคุก 1 ปี นายทักษิณใช้พรรคเพื่อไทยเป็นเครื่องมือสั่งรัฐบาลเพื่อไม่ต้องรับโทษจำคุกอยู่ในเรือนจำ

2.มีพฤติกรรมฝักใฝ่คบหาร่วมคิดกับสมเด็จฮุนเซน อดีตนายกฯ ของประเทศกัมพูชา เอื้อประโยชน์ทางทะเลให้กับทางกัมพูชา 3.นายทักษิณสั่งให้พรรคเพื่อไทย ร่วมมือกับพรรคประชาชนเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ 4.สั่งการพรรคเพื่อไทยในการเจรจากับพรรคการเมืองที่ร่วมรัฐบาล เพื่อเสนอบุคคลผู้สมควรเป็นนายกฯ คนใหม่เมื่อวันที่ 14 ส.ค. 67 ที่บ้านพักจันทร์ส่องหล้า 5.สั่งการให้พรรคเพื่อไทยขับพรรคพลังประชารัฐออกจากพรรคร่วมรัฐบาล 6.สั่งการให้นำนโยบายที่นายทักษิณได้แสดงวิสัยทัศน์ไว้ไปเป็นนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่แถลงไว้ต่อรัฐสภา

ผลจากการยื่นคำร้องดังกล่าว ทำให้มีปฏิกิริยาติดตามมาหลายแนวทาง ทั้งไม่เห็นด้วยและสนับสนุน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้ความเห็นว่า คงเป็นการยืนยันว่าทุกพรรคการเมืองควรช่วยกันร่วมแก้รัฐธรรมนูญเรื่องจริยธรรม

ซึ่งเป็นเรื่องดี ในสังคมควรจะมี แต่ไม่ควรใช้เป็นอาวุธในการทำลายล้างกัน การจะร้องอะไร ก็ควรจะมีโทษที่ได้สัดส่วนกับการร้อง ซึ่งสิ่งที่สังคมร่วมกันจรรโลง คือการเห็นว่าจริยธรรมอันไหนเหมาะหรือไม่เหมาะ ไม่ควรใช้เป็นการลงโทษหรือตัดสิทธิทางการเมือง นี่น่าจะเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้นักการเมืองทุกพรรคร่วมกันพูดคุยเรื่องนี้ได้ ว่าควรแก้ไขรัฐธรรมนูญได้แล้ว และว่าหากจะให้มีอะไรแบบนี้ โทษที่ได้ต้องได้สัดส่วน ไม่ใช่ปลดนายกรัฐมนตรีที่ประชาชนเลือกมา หรือยุบพรรคที่ประชาชนตั้งกันมา ไม่ควรมีอีกแล้วในการเมืองไทย การล้มล้างการปกครองในประเทศไทยมีเพียงอย่างเดียวคือการรัฐประหาร ซึ่งตนเองก็ไม่อยากเห็นพรรคเพื่อไทยถูกยุบ

การเมืองเป็นปัจจัยหรือตัวแปรที่มีผลต่อการเมืองอยู่เสมอ โดยเฉพาะในประเทศไทย นักเศรษฐศาสตร์หลายสำนักได้ชี้ไว้ว่า นิติสงครามคือการใช้กฎหมายสู้รบทางการเมือง มีผลอย่างมากกับเศรษฐกิจและภาคการลงทุน ซึ่งประเทศไทยเผชิญมายาวนานนับจากปี 2549 ที่เกิดการรัฐประหาร 19 ก.ย. ผลที่ตามมาจากนั้น เชื่อว่าทุกฝ่ายน่าจะจดจำได้ดี คำกล่าวของนายพิธาเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายน่าจะต้องนำไปขบคิด และหาทางร่วมกันแก้ไขปัญหา เพราะน่าจะเป็นที่ทราบกันแล้วเช่นกันว่า การแก้ไขหรือยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่จะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เป็นทางออกที่หลีกเลี่ยงได้ยาก หากต้องการฟื้นฟูหรือขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไปในทิศทางที่เป็นประโยชน์กับส่วนรวม

ข้อมูล/ภาพ : ประชาชาติ

author avatar
CatchUp