ปฏิเสธไม่ได้ว่าการหวนกลับมาส่งออกในรอบ 1 ปีของอินเดีย นับจากที่ประกาศชะลอการส่งออกเมื่อเดือนกรกฎาคม 2566 ได้ส่งผลทำให้ “ตลาดค้าข้าวโลก” เกิดสภาวะช็อก แม้ว่าอินเดียจะประกาศกำหนดราคา เอฟ.โอ.บี.ส่งออกข้าวขาว เป็นราคาขั้นต่ำที่ 490 เหรียญสหรัฐต่อตัน เมื่อเดือนกันยายน 2567 ที่ผ่านมา แต่ราคาส่งออกข้าวไทยลดลงทันที 50 เหรียญสหรัฐต่อตัน ลามไปถึงราคาข้าวสารในประเทศไทยปรับลดลงในทันทีหลักพันบาทต่อตัน
ในช่วง 2 สัปดาห์นับจากนี้ จึงเป็นที่น่าจับตาว่าสถานการณ์ราคาข้าวจะมีทิศทางอย่างไร ท่ามกลาวภาวะการแข่งขันในตลาดโลกที่ร้อนแรง และประเทศไทยกำลังเข้าสู่ฤดูการผลิตข้าวนาปี 2567/2568 ตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคม 2567 เป็นต้นไป ซึ่งข้อมูลจากสมาคมโรงสีข้าวไทยได้คาดการณ์ผลผลิตข้าวนาปี ปี 2567/2568 ว่าจะมีปริมาณ 7 ล้านตันข้าวเปลือก ส่วนใหญ่จะเป็นข้าวหอมมะลิและข้าวเหนียวในภาคอีสาน ขณะที่ข้าวเปลือกเจ้าเก็บเกี่ยวใกล้หมดแล้ว และกำลังเข้าสู่การเพาะปลูกรอบใหม่ คาดว่าจะเริ่มเก็บเกี่ยวอีกครั้งต้นปี 2568
ชาวนาจี้รัฐเร่งเยียวยา
นายปราโมทย์ เจริญศิลป์ นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย เปิดเผยว่า ทางสมาคมได้มีการหารือกับ นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมไปถึง นายวิทยากร มณีเนตร โฆษกกระทรวงพาณิชย์ ว่าที่อธิบดีกรมการค้าภายในคนใหม่ ในการช่วยเร่งหามาตรการและติดตามดูแลช่วยเหลือชาวนาที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วม และ 1-2 เดือนจากนี้เป็นช่วงที่ผลผลิตข้าวนาปีกำลังจะออกสู่ตลาดปลายเดือนตุลาคม เป็นต้นไป ทั้งนี้ มีการประเมินว่าฤดูผลผลิตข้าวปี 2567/2568 คาดว่าจะมากกว่าปีที่แล้วประมาณ 28 ล้านตันข้าวเปลือก แม้ว่าปัญหาน้ำท่วมได้ส่งผลกระทบต่อนาข้าวกว่า 1.3 ล้านไร่
“สถานการณ์ราคาข้าวภายในประเทศในตอนนี้ ระดับราคาเกษตรกรยังพอใจ โดยข้าวขาวเฉลี่ยที่ 8,000-9,000 บาทต่อตันข้าวเปลือก แต่ก็ยอมรับว่าบางพื้นที่ราคาข้าวอาจจะปรับลดลง เนื่องจากปัญหาน้ำท่วม ทำให้เกษตรกรต้องเกี่ยวข้าวสดเพื่อนำมาขาย ไม่อย่างนั้นจะเกิดความเสียหายมาก ราคาเฉลี่ยที่ 7,000- 8,000 บาทต่อตัน ตอนนี้ในหลายพื้นที่โดยเฉพาะภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนบน เก็บเกี่ยวผลผลิตใกล้หมดแล้ว และอยู่ระหว่างการปลูกข้าวรอบถัดไป”
ปราโมทย์ เจริญศิลป์
ส่วนราคาข้าวหอมมะลิ (ความชื้น 15%) คาดว่าจะเฉลี่ย 16,000 บาทต่อตันข้าวเปลือก ส่วนข้าวเหนียวในความชื้น 15% ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 13,000 บาทต่อตัน หากมีการเก็บเกี่ยวข้าวสด ความชื้นมากกว่า 25% ราคาจะปรับลดลงเฉลี่ยอยู่ที่ 10,000 บาทต่อตัน
นายปราโมทย์กล่าวว่า มาตรการที่สมาคมต้องการให้รัฐบาลเข้ามาช่วยเหลือชาวนาคือ โครงการไร่ละ 1,000 บาท และโครงการชะลอการขายข้าวในส่วนที่เป็นยุ้งฉางของเกษตรกร โดยมีค่าเก็บฝากตันละ 1,000 บาทต่อเดือน เพื่อเป็นการสนับสนุนและช่วยเหลือเกษตรกรให้เก็บรักษาข้าวไว้ก่อนในช่วงราคาข้าวเปลือกตกต่ำ พร้อมทั้งขอให้หน่วยงานภาครัฐช่วยเหลือในเรื่องของการหาเมล็ดพันธุ์ข้าวให้ชาวนานำมาเพาะปลูกใหม่ และช่วยส่งเสริมเครื่องจักร รวมถึงการลดต้นทุนการเพาะปลูกด้วย
โรงสีแนะรัฐตั้งรับดูแลข้าว
ด้าน นายรังสรรค์ สบายเมือง นายกสมาคมโรงสีข้าวไทย กล่าวว่า ภายหลังจากที่สมาคมได้ยื่นหนังสือขอให้ กระทรวงการคลัง ช่วยประสานให้กับผู้ประกอบการโรงสี ได้มีการหารือกับธนาคารกรุงไทย เพื่อหารือถึงแนวทางในการลดความเข้มงวด ลดหย่อนเงื่อนไขในการกู้เงินจากธนาคาร เพื่อนำมาเป็นเงินหมุนเวียนในการรับซื้อข้าวของชาวนา ตั้งแต่กลางเดือนกันยายน 2567 ที่ผ่านมา “ยังไม่ได้รับการตอบรับ” จากหน่วยงานของรัฐบาลเลย ชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลไม่มีการทำงานเชิงรุก แต่ทำงานเชิงรับ เมื่อเกิดปัญหาถึงจะเข้ามาดูแลแก้ไข ออกมาตรการช่วยเหลือให้กับผู้ประกอบการหรือเกษตรกร
“ตอนนี้หากไม่เห็นปัญหา มีผลกระทบเกิดขึ้น รัฐบาลจะไม่ค่อยเข้ามาดูแลหรือดำเนินการใด ๆ ต้องรอให้เกิดปัญหาก่อนค่อยมาดูแลแก้ไขช่วยเหลือเกษตรกร ซึ่งมีมากกว่า 10 ล้านครัวเรือน เห็นได้จากขณะนี้ คณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการข้าว หรือ นบข. ก็ยังไม่มีการดำเนินการจัดตั้ง หลังมีการปรับเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ซึ่งมีผลต่อการวางกรอบนโยบายในการดูแลจัดการข้าว มองว่าเป็นเรื่องที่รัฐบาลควรจะเข้ามาดูแลและวางแผนล่วงหน้า ไม่ใช่รอให้ปัญหาเกิดก่อน”
รังสรรค์ สบายเมือง
ทั้งนี้ ปัจจุบันผู้ประกอบการโรงสียังต้องช่วยเหลือและปรับตัวเองในการดำเนินธุรกิจ เทียบจากอดีตเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ผู้ประกอบการโรงสีได้ปิดกิจการไปกว่า 30-40% และบางรายก็ปรับตัวหันมาทำธุรกิจส่งออกข้าวและขายข้าวภายในประเทศ แต่ยังให้ความมั่นใจกับเกษตรกรชาวนา โรงสียังรับซื้อข้าวอย่างเต็มที่ แม้จะเจอปัญหาเรื่องของสภาพคล่องก็ตาม แต่ต้องยอมรับว่าจากปัญหานี้อาจจะมีผลต่อการเก็บสต๊อกข้าวของโรงสี และจะทำให้เกิดการหมุนเวียนซื้อ-ขายข้าวเร็ว การเก็บสต๊อกข้าวจะน้อยและสั้นลง เพื่อให้มีเงินหมุนเวียนในระบบ จะส่งผลให้ราคาข้าวในตลาดมีโอกาสย่อตัวลง จากปริมาณข้าวในตลาดเพิ่มขึ้น
โดยผลผลิตข้าวนาปีซึ่งส่วนใหญ่เป็นข้าวหอมมะลิและข้าวเหนียวบางส่วน คาดว่าจะมีผลผลิตข้าวประมาณ 7 ล้านตันข้าวเปลือก ซึ่งปีนี้ผลผลิตจะดีกว่าปีที่แล้ว ส่วนราคาข้าวขาวตอนนี้ราคาเฉลี่ยที่ 15,000-15,500 บาทต่อตัน ปรับขึ้นจากก่อนหน้าที่ 14,000 บาทต่อตัน เพราะเกิดภาวะช็อกจากการกลับมาส่งออกข้าวของอินเดีย ส่วนราคาข้าวหอมมะลิเฉลี่ยที่ 26,000-27,000 บาทต่อตัน ทั้งนี้ ยังต้องรอติดตามหลังจากที่ผลผลิตออกจะมีผลต่อราคาข้าวหรือไม่
นายวิชัย ศรีนวกุล นายกสมาคมโรงสีข้าวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลยังไม่ได้แต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ส่งผลให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการประกาศความชัดเจนและการเตรียมความพร้อมสำหรับมาตรการดูแลเสถียรภาพราคาข้าวนาปี ปี 2567/2568 ที่กำลังจะออกสู่ตลาดในอีก 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า โดยสมาคมฯ จะมีการประชุมในวันที่ 15 ตุลาคม 2567 เพื่อเตรียมประเมินสถานการณ์ผลผลิตข้าวนาปี ที่จะออกสู่ตลาดว่าจะมีปริมาณผลผลิตมากน้อยเพียงใด หลังจากที่เกิดภาวะน้ำท่วในหลายพื้นที่
วิชัย ศรีนวกุล
ส่งออกข้าวไทยยังเสี่ยง
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยว่า สมาคมคาดว่าในเดือนกันยายน 2567 จะส่งออกได้ไม่ต่ำกว่า 6 แสนตัน เนื่องจากยังมีสัญญาบางส่วนที่ค้างมาจากเดือนก่อน ส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มของข้าวขาวที่ส่งไปยังตลาดหลักในเอเชีย เช่น ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น รวมทั้งตลาดหลักในภูมิภาคแอฟริกา เช่น โมซัมบิก แคเมอรูน แองโกลา และตลาดตะวันออกกลาง เช่น อิรัก เป็นต้น
ขณะที่ตลาดนำเข้าข้าวหอมมะลิที่สำคัญยังคงมีการนำเข้าอย่างต่อเนื่อง เช่น สหรัฐ แคนาดา ฮ่องกง สิงคโปร์ ฝรั่งเศส เป็นต้น อย่างไรก็ตาม คาดว่าในช่วงไตรมาส 4 ตลาดจะกลับไปเป็นของผู้ซื้ออีกครั้ง เพราะปริมาณข้าวในตลาดโลกจะเพิ่มขึ้น
ส่วนราคามีแนวโน้มอ่อนตัวลง หลังจากที่รัฐบาลอินเดียกลับมาส่งออก และปรับลดภาษีส่งออกข้าวบางชนิดรวมถึงข้าวนึ่งลงเหลือ 10% ทำให้ผู้ซื้อบางส่วนหันไปให้ความสนใจข้าวจากอินเดียอีกครั้ง และทำให้การแข่งขันในตลาดจะรุนแรงขึ้น โดยคาดว่าการส่งออกข้าวของไทยในช่วงไตรมาส 3 มีแนวโน้มลดลง แต่อย่างไรก็ตามยังต้องติดตามคำสั่งซื้อใหม่ของอินเดียจะมีมากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะสถานการณ์ผลผลิตที่จะออกในช่วงปลายปี 2567 ซึ่งมีข้าวใหม่ทั้งของไทย เวียดนาม เป็นต้น ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวอาจทำให้ราคาข้าวในตลาดโลกมีการปรับลดลง
ชูเกียรติ โอภาสวงศ์
ส่วนการส่งออกข้าวไทยในเดือนตุลาคม 2567 สมาคมคาดว่ามีแนวโน้มปรับตัวลดลงจากการที่มีการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง แม้ว่าค่าเงินบาทจะแข็งค่าจากช่วงต้นปี แต่เชื่อว่าการส่งออกข้าวน่าจะได้ประมาณ 5 แสนตัน เฉลี่ย 3 เดือนจากนี้ ซึ่งจะทำให้ส่งออกเข้าทั้งปียังมั่นใจอยู่ที่ 8.5 ล้านตัน
ส่วนการส่งออกข้าวในปี 2568 นี้ จะอยู่ที่ 6.5 ล้านตัน มีโอกาสเป็นไปได้มาก จากการแข่งขันที่รุนแรงในด้านราคา อินเดียกลับมาส่งออก ผลผลิตเพิ่มรวมไปถึงผู้นำเข้านำ เข้าข้าวลดลง เช่น อินโดนีเซีย อย่างไรก็ดี การดูแลค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่าเกินไปยังเป็นปัจจัยสำคัญในการส่งออก รวมไปถึงการผลิตข้าวที่ตลาดมีความต้องการจะช่วยให้ไทยยังสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้
ทั้งนี้ การส่งออกข้าวของไทยในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา (มกราคม-สิงหาคม 2567) มีปริมาณ 6,570,230 ตัน เพิ่มขึ้น 24.1% มูลค่า 152,556 ล้านบาท หรือ 4,264.7 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 51.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2566 ที่ส่งออกปริมาณ 5,295,840 ตัน มูลค่า 100,717 ล้านบาท (2,959.8 ล้านเหรียญสหรัฐ) แม้สถานการณ์ค่าเงินบาทจะมีความผันผวน จึงปรับเป้าหมายการส่งออกจาก 8 ล้านตัน เป็น 8.2 ล้านตัน ในสิ้นปี 2567
ชะลอเก็บข้าวยุ้งฉาง
นายวิทยากรกล่าวว่า มาตรการการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวฤดูกาลผลิต 2567/2568 กระทรวงพาณิชย์ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ได้เตรียมมาตรการรองรับข้าวเปลือกโดยมาตรการเก็บข้าวไว้ในยุ้งฉางเกษตรกร เป็นมาตรการที่ส่าคัญที่จะช่วยชะลอข้าวเปลือกในช่วงที่จะออกสู่ตลาดมาก ในเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2567
โดยกรมการค้าภายในจะได้เพิ่มการติดตามดูแลการซื้อขายข้าวปลือกอย่างเข้มงวด ทั้งเรื่องของการปิดป้ายแสดงราคารับซื้อ ตรวจสอบความถูกต้องของเครื่องชั่งน้ำหนักและเครื่องวัดความชื้น ซึ่งหากเกษตรกรไม่ได้รับความเป็นธรรมในการซื้อขาย สามารถร้องเรียนได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน โทร. 1569 ผู้ประกอบการรายใดจงใจที่จะท่าให้ปั่นป่วนซึ่งราคา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ข้อมูล/ภาพ : ประชาชาติ