เปิดปมปริศนาเงิน 12 ล้านบาทซุกคอนโดฯ: จากคำถาม “จริงหรือลืม?” สู่ความเชื่อมโยงถึง ป.ป.ช. และ กสทช.

จากกรณีที่เงินสดจำนวน 12 ล้านบาทถูกพบในลังพลาสติกที่บริเวณจุดทิ้งขยะคอนโดมิเนียมย่านเมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี และต่อมานายทวีวัฒน์ เส้งแก้ว ได้เข้ามาแสดงตัวเป็นเจ้าของเงิน โดยอ้างว่าลืมไว้เนื่องจากต้องการเข้าซ่อมห้องที่น้ำท่วม เหตุการณ์นี้ได้กลายเป็นประเด็นที่สังคมตั้งคำถามอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะประเด็นที่มาของเงินและคำอธิบายที่ฟังดูน่าสงสัย

คุณรักชนก ศรีนอก ส.ส. ได้แสดงความเคลือบแคลงต่อคำกล่าวอ้างดังกล่าว พร้อมตั้งคำถามที่กระตุ้นให้คิดตามว่า “ถ้าคุณคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง คุณคิดดดด…. ?” พร้อมทั้งได้เปิดเผย “สาระน่ารู้เกี่ยวกัย นายทวีวัฒน์ เส้งแก้ว” โดยระบุว่า นายทวีวัฒน์ เป็นที่ปรึกษาบอร์ด กสทช. คือ นายต่อพงศ์ เสลานนท์ นอกจากนี้ นายทวีวัฒน์ยังเป็นคณะอนุกรรมการสำคัญหลายชุดใน กสทช. อาทิ คณะอนุกรรมการเพื่อศึกษาและวิเคราะห์กรณีการรวมธุรกิจระหว่าง บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ด้านกฎหมาย ในคณะอนุกรรมการชุดดังกล่าว ทุกคนมีความเห็นว่า กสทช. มีอำนาจเต็มในการพิจารณาเรื่องการควบรวม สามารถห้ามหรืออนุญาตก็ได้ ยกเว้นนายทวีวัฒน์เพียงคนเดียวที่ลงมติว่า กสทช. มีอำนาจแค่ “รับทราบ” เท่านั้น ไม่มีอำนาจห้ามควบรวม

นอกจากข้อมูลเกี่ยวกับนายทวีวัฒน์แล้ว ยังมีการนำเสนอ “สาระน่ารู้เกี่ยวกับ นายต่อพงศ์ เสลานนท์ คนที่แต่งตั้ง นายทวีวัฒน์ เส้งแก้ว ให้เป็นที่ปรึกษา” โดยระบุว่า นายต่อพงษ์ เสลานนท์ เคยได้รับการแต่งตั้งจากบริษัท CP ให้เป็นหนึ่งใน 7 คณะที่ปรึกษาด้านความยั่งยืนโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินในปี 2020 ก่อนที่จะลาออกมาเป็นบอร์ด กสทช. ซึ่งได้รับการรับรองตำแหน่งโดย สว. ที่มาจากการรัฐประหาร ในวันที่ลงมติควบรวมทรู-ดีแทค ทางสำนักงาน กสทช. ได้นำเสนอว่า กสทช. มีอำนาจเพียงรับทราบการควบรวมเท่านั้น และ นายต่อพงษ์ เสลานนท์ ในฐานะบอร์ด กสทช. ก็เห็นชอบตามความเห็นของนายทวีวัฒน์ เส้งแก้ว ที่ว่า กสทช. ไม่มีอำนาจห้ามการควบรวม การลงมติดังกล่าวมีเสียงเท่ากัน 2 ต่อ 2 (พิรงรอง รามสูต และ ศุภัช ศุภชลาศัย ไม่อนุญาต) และ 1 เสียงงดออกเสียง (ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ) โดยนายต่อพงษ์ เสลานนท์ เป็นผู้เสนอให้ประธานโหวตซ้ำเพื่อชี้ขาด นำไปสู่การควบรวมที่ส่งผลกระทบต่อคนทั้งประเทศหรือไม่ ?

ล่าสุด สำนักข่าวอิศราได้เผยข้อมูลใหม่เกี่ยวกับนายทวีวัฒน์ เส้งแก้ว แหล่งข่าวระดับสูงในสำนักงาน ป.ป.ช. ยืนยันว่า นายทวีวัฒน์ เคยได้รับเชิญจากพลเอก บุณยวัจน์ เครือหงส์ อดีตกรรมการ ป.ป.ช. มาเป็นที่ปรึกษา และร่วมเป็นอนุกรรมการไต่สวนคดีสำคัญของ ป.ป.ช. หลายคดี เนื่องจากพลเอก บุณยวัจน์ เคยทำงานที่สำนักงาน กสทช. และนายทวีวัฒน์ก็เคยเกี่ยวข้องกับ กสทช. จึงได้ดึงมาช่วยงานอนุกรรมการไต่สวน ปัจจุบัน นายทวีวัฒน์ ยังคงเป็นอนุกรรมการไต่สวนในคดีร่ำรวยผิดปกติซึ่งมี นางสุวณา สุวรรณจูฑะ กรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธาน นอกจากนี้ นายทวีวัฒน์ ยังมีสถานะเป็นสามีของข้าราชการระดับผู้อำนวยการในสำนักงาน ป.ป.ช. ซึ่งตามกฎหมายจะต้องแจ้งบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน แหล่งข่าวระบุว่า ในกรณีเงินสด 12 ล้านบาทนี้ ป.ป.ช. ก็คงจะต้องเข้าไปตรวจสอบว่ามีการแจ้งรายการดังกล่าวอยู่ในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินฯ หรือไม่

ด้าน นางสาวรสนา โตสิตระกูล ได้ตั้งคำถามอย่างเผ็ดร้อนต่อคดีนี้ว่าอาจเป็น “เส้นทางเงิน เส้นทางสินบน เส้นทางอาชญากรรม ใช่หรือไม่ ?” จากการที่เงินสด 12 ล้านบาทถูกพบโดยพลเมืองดีที่อาศัยในคอนโดฯ โดยเงินอยู่ในกล่องพร้อมเอกสารของสำนักงาน กสทช. จ่าหน้าซองถึงนายทวีวัฒน์ นางสาวรสนาตั้งข้อสงสัยว่า เงินจำนวนมากถึง 12 ล้านบาท บรรจุในกล่องที่มีน้ำหนักถึง 12-13 กิโลกรัม การที่คนแบกลงมาจากชั้น 5 มาทิ้งที่ชั้น 4 โดยอ้างว่าหลงลืมเป็นเรื่องที่น่าสงสัยอย่างยิ่ง เธอยังตั้งคำถามถึงข้ออ้างเรื่องกล้องวงจรปิดที่อ้างว่าเสีย ว่าเสียทั้งตึกหรือไม่ เสียตั้งแต่เมื่อใด และกล้องในลิฟต์เสียด้วยหรือไม่ พร้อมเรียกร้องให้มีการตรวจสอบกล้องวงจรปิดตั้งแต่ที่จอดรถ โดยเน้นย้ำว่าการพิสูจน์เส้นทางเงินอาจเป็นการพิสูจน์ว่ามันเป็นเส้นทางการจ่ายสินบนหรือไม่ และใครบ้างที่เกี่ยวข้องในเส้นทางนี้ นางสาวรสนาแสดงความหวังให้ตำรวจ ปปง. และ ปปท. คลี่คลายปริศนานี้ให้ได้ ไม่ใช่เพียงแค่การตรวจสอบการแจ้งบัญชีทรัพย์สินเท่านั้น และยืนยันว่าสังคมไทยจะไม่ยอมให้คดีนี้เป็นมวยล้มต้มคนดู

จากข้อมูลที่ปรากฏ นายทวีวัฒน์ เส้งแก้ว ไม่เพียงแต่เป็นผู้อ้างสิทธิ์ในเงินสด 12 ล้านบาทที่ถูกพบในสภาพน่าสงสัย แต่ยังมีบทบาทสำคัญเกี่ยวข้องกับทั้งสำนักงาน กสทช. และสำนักงาน ป.ป.ช. โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบาทในคณะอนุกรรมการที่มีผลต่อการตัดสินใจสำคัญระดับประเทศใน กสทช. และการเป็นสามีของข้าราชการระดับสูงใน ป.ป.ช. ซึ่งอยู่ในข่ายต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สิน ทำให้คดีนี้มีความซับซ้อนและเชื่อมโยงกับประเด็นการตรวจสอบทรัพย์สิน การทำหน้าที่ในองค์กรอิสระ และคำถามเกี่ยวกับความโปร่งใสในการทำงาน ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งตำรวจ, ปปง., และ ป.ป.ช. จะต้องดำเนินการสอบสวนเพื่อให้สังคมคลายข้อสงสัยและเปิดเผยความจริงให้ปรากฏ.