ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ภาพจำของบริการแท็กซี่ในสังคมไทยได้เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน จากการเป็นหนึ่งในตัวเลือกการเดินทางที่สะดวกที่สุด กลับกลายเป็นปัญหาที่สร้างความไม่พึงพอใจให้กับผู้โดยสารอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรม “โบกไม่ไป”, การเหมาราคาแพง, การไม่เปิด GPS หรือถามเส้นทางแบบไม่จริงใจ สิ่งเหล่านี้ล้วนบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนต่อระบบขนส่งสาธารณะประเภทนี้
กรณีล่าสุดที่กลุ่มแท็กซี่สนามบินสุวรรณภูมิรวมตัวเรียกร้องให้กรมการขนส่งทางบกและกระทรวงคมนาคมพิจารณาย้ายจุดบริการของ “รถผ่านแอปพลิเคชัน” หรือที่รู้จักกันดีในนาม “แกร็บ” ถือเป็นจุดสะท้อนสำคัญถึงแรงเสียดทานระหว่างโครงสร้างเก่ากับกระแสเทคโนโลยีใหม่ในระบบขนส่งของไทย
การเปลี่ยนผ่านที่ไม่เท่าเทียม
รถแท็กซี่มิเตอร์แบบดั้งเดิมมักอ้างว่าระบบแอปพลิเคชันส่งผลกระทบต่อจำนวนเที่ยวและรายได้ของพวกเขา ซึ่งหากพิจารณาเชิงเศรษฐกิจแล้ว ความกังวลนั้นไม่ใช่เรื่องไม่มีเหตุผล ข้อมูลจาก ทอท. ระบุว่า แท็กซี่มิเตอร์ที่วิ่งในสนามบินสุวรรณภูมิมีประมาณ 6,000 เที่ยวต่อวัน ในขณะที่รถเรียกผ่านแอปฯ มีถึง 5,000 เที่ยว โดยจำนวนไม่น้อยคือแท็กซี่มิเตอร์ที่เข้าร่วมระบบแอปฯ เช่นกัน
จุดที่น่าสนใจคือ แม้แท็กซี่จำนวนหนึ่งจะปรับตัวได้ แต่อีกจำนวนไม่น้อยยังคงปฏิเสธการเปลี่ยนแปลง โดยให้เหตุผลเรื่องความไม่เป็นธรรม เช่น จุดรับผู้โดยสารของรถผ่านแอปฯ ที่อาจตั้งอยู่ใกล้กับคิวแท็กซี่เดิมจนเกิดการแย่งลูกค้า อย่างไรก็ตาม คำถามคือ…การรักษาพื้นที่เดิมไว้โดยไม่ยอมเปลี่ยนแปลง เป็นการคุ้มครองแรงงาน หรือถ่วงนวัตกรรมกันแน่?
สิทธิในการเลือกของประชาชน
หนึ่งในประเด็นหลักที่มักถูกมองข้ามคือ “สิทธิของผู้โดยสารในการเลือกใช้บริการ” ในยุคที่ผู้บริโภคมีเครื่องมือในการตัดสินใจมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการให้คะแนน การรีวิว หรือการเปรียบเทียบราคาแบบเรียลไทม์ การบังคับให้ผู้โดยสารต้องใช้บริการแท็กซี่รูปแบบเดียว หรือจำกัดทางเลือก เท่ากับเป็นการลดทอนสิทธิพื้นฐานของผู้บริโภค
ยิ่งในพื้นที่สนามบิน ซึ่งเป็นพื้นที่ของผู้โดยสารหลากหลายกลุ่ม ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ระบบขนส่งที่หลากหลายและโปร่งใสจะช่วยเสริมภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศ มากกว่าการปิดกั้นเทคโนโลยีด้วยข้ออ้างด้านผลประโยชน์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
ทางออกที่ยั่งยืน: ปรับตัวแทนต่อต้าน
สิ่งที่ภาครัฐพยายามดำเนินการในขณะนี้ คือการหาข้อยุติที่สมดุล โดยยืนยันว่าทุกบริการควรอยู่ร่วมกันได้ ไม่ใช่ด้วยการแย่งพื้นที่ แต่ด้วยการพัฒนาคุณภาพ ซึ่งรวมถึงการอบรมพฤติกรรมผู้ขับ, การบังคับใช้ GPS อย่างจริงจัง, การสร้างระบบร้องเรียนที่มีประสิทธิภาพ และส่งเสริมให้แท็กซี่แบบดั้งเดิมเข้าสู่ระบบแอปพลิเคชันอย่างเป็นระบบ
หากพิจารณาจากคำกล่าวของนายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมขนส่งทางบก ที่ระบุว่า “เราปฏิเสธเรื่องของเทคโนโลยีไม่ได้” ก็เท่ากับเป็นการยืนยันว่าเส้นทางข้างหน้าของแท็กซี่ไทยไม่ได้อยู่ที่การต่อสู้กับระบบใหม่ แต่คือการพัฒนาและยกระดับตนเองให้เท่าทันโลกที่เปลี่ยนไป
แท็กซี่ไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นกระจกสะท้อนปัญหาของระบบที่ไม่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง การเลือกยืนหยัดอยู่กับอดีตอาจสร้างความมั่นคงในระยะสั้น แต่ในโลกที่เทคโนโลยีและความต้องการของผู้บริโภคเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว การไม่ปรับตัวเท่ากับการเดินถอยหลัง
ถ้าการแข่งขันไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ทางเดียวคือการพัฒนา เพื่อให้แท็กซี่ไทยไม่ใช่แค่ “ตัวเลือกสุดท้าย” แต่เป็น “ทางเลือกคุณภาพ” ที่ผู้โดยสารเต็มใจใช้บริการ
