ใครมีงานทำอยู่…กอดงานให้แน่น
ปี 2025 เปิดฉากด้วยกระแสลมหนาวจากเศรษฐกิจโลกที่ไม่อาจพยากรณ์ได้อีกต่อไป ความไม่แน่นอนทางการเงิน ดอกเบี้ยสูง ค่าใช้จ่ายพุ่ง และเทคโนโลยีที่กำลังกลืนงานมนุษย์ กลายเป็นฝันร้ายที่กำลังเกิดขึ้นจริงในทุกมุมโลก ไม่เว้นแม้แต่บริษัทระดับโลกที่เคยมั่นคงดั่งเสาหลักของระบบเศรษฐกิจ ก็ยังต้องยอมจำนนต่อสถานการณ์ด้วย “การปลดพนักงาน” จำนวนมาก เพื่อความอยู่รอดขององค์กร
การที่แบรนด์ใหญ่อย่าง Microsoft, Panasonic และ Nissan ต่างทยอยประกาศลดขนาดองค์กรในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน สะท้อนความจริงอันโหดร้ายของระบบเศรษฐกิจยุคใหม่ ที่ไม่เหลือพื้นที่ให้กับความเมตตา แต่เหลือเพียง “ผลกำไร” ที่ต้องเร่งกู้วิกฤตไม่ให้ทรุดหนักไปกว่านี้
Microsoft: เทคโนโลยีกลืนคน กลายเป็นสูตรอยู่รอด
Microsoft บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของโลก กลายเป็นภาพแทนของความย้อนแย้งอันเจ็บปวด เพราะแม้จะลงทุนมหาศาลในเทคโนโลยี AI เพื่ออนาคต แต่กลับต้องแลกด้วยชีวิตการทำงานของพนักงานอีกกว่า 7,000 คนทั่วโลก รวมถึงในสำนักงานใหญ่กว่า 2,000 คน ท่ามกลางการทุ่มงบสูงถึง 8 หมื่นล้านดอลลาร์ ให้กับโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI และคลาวด์
นี่ไม่ใช่การปลดพนักงานครั้งแรกของ Microsoft แต่เป็น “ระลอกใหม่” ของนโยบายลดคนที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี 2023 โดยเฉพาะฝ่าย HoloLens และฮาร์ดแวร์ที่ถูกปรับลดไปก่อนแล้วกว่า 10,000 คน ซึ่งทั้งหมดเกิดขึ้นในขณะที่บริษัทยัง “มีกำไร” แต่เลือกที่จะรีดประสิทธิภาพด้วยเครื่องจักรและซอฟต์แวร์มากกว่ามนุษย์
จุดที่น่าสะเทือนใจคือ ผู้บริหารอย่าง Bill Duff ยังกล่าวชัดว่า AI ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้หลายร้อยล้านดอลลาร์ เพราะลดความจำเป็นในการใช้ “มนุษย์” ในการบริการลูกค้า งานวิเคราะห์ข้อมูล การจัดทำเอกสารทางการตลาด ไปจนถึงการปฏิบัติตามกฎระเบียบ
Panasonic: ยักษ์ญี่ปุ่นที่กำลังเดินสู่ทางตัน
Panasonic Holdings จากญี่ปุ่น เป็นอีกตัวอย่างขององค์กรที่กำลังถูกกลืนด้วยภาระต้นทุนและการเสียเปรียบเชิงโครงสร้าง บริษัทตัดสินใจลดพนักงานลง 10,000 คนทั่วโลก โดย 5,000 คนอยู่ในญี่ปุ่น และอีก 5,000 คนกระจายอยู่ในต่างประเทศ ภายในสิ้นปีงบประมาณ 2026
ต้นเหตุของโศกนาฏกรรมนี้คือ ความล้มเหลวในการแข่งขัน โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ที่พ่ายแพ้ต่อบริษัทจีนอย่าง Haier และ Midea แบบสิ้นเชิง แม้สินค้าจะยังขายได้ แต่ กำไรลดลงถึง 17.5% ในปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะหดตัวอีก 15.3% ในปีหน้า
Panasonic จำเป็นต้องควักเงินกว่า 1.3 แสนล้านเยน เพื่อปรับโครงสร้างองค์กร หยุดธุรกิจที่ขาดทุน และรวมแผนกสนับสนุนเข้าด้วยกัน เพื่อรัดเข็มขัดอย่างถึงที่สุด
ที่น่าตระหนกคือแม้เป็นบริษัทเก่าแก่ที่อยู่คู่ญี่ปุ่นมากว่า 100 ปี แต่ Panasonic ก็ประกาศชัดว่า “พร้อมจะขาย” ธุรกิจโทรทัศน์หากไม่สามารถพลิกฟื้นได้ทันเวลา ความเปราะบางของอุตสาหกรรมที่เคยรุ่งเรืองกำลังเปลี่ยนเป็นภาพจำที่ไม่มีอนาคต
Nissan: ความสูญเสียที่กระทบถึงประเทศไทยโดยตรง
หากบริษัทก่อนหน้านี้ยังดูเป็น “ภัยเงียบ” สำหรับประเทศไทย แต่ในกรณีของ Nissan ความเจ็บปวดนั้น “เป็นจริง” บนแผ่นดินไทย
Nissan ประกาศปลดพนักงานเพิ่ม 11,000 คนทั่วโลก ต่อจากการปลด 9,000 คนก่อนหน้า รวมเป็น 20,000 คน หรือคิดเป็น 15% ของพนักงานทั้งองค์กร เหตุผลคือ ขาดทุนหนักถึง 7.5 แสนล้านเยน ในปีที่ผ่านมา
หนึ่งในข่าวร้ายที่กระทบตรงถึงประเทศไทยคือ การปิดโรงงานในไทย ที่เป็นหนึ่งใน 3 โรงงานที่บริษัทเตรียมปิดทั่วโลก พร้อมกับการยกเลิกแผนสร้างโรงงานแบตเตอรี่ EV ในญี่ปุ่น นี่คือ สัญญาณเตือนอันชัดเจน ว่าแรงงานไทยไม่อาจพึ่งพาการลงทุนข้ามชาติได้อย่างยั่งยืนอีกต่อไป
การปิดโรงงานจะส่งผลกระทบในห่วงโซ่อุตสาหกรรมยานยนต์ ตั้งแต่ซัพพลายเออร์รายย่อยไปจนถึงระบบโลจิสติกส์และชิ้นส่วน ส่งผลเป็นลูกโซ่ต่อแรงงานหลายหมื่นชีวิตในภูมิภาค
ตลาดแรงงานไทยที่กำลังไร้ภูมิคุ้มกัน
จากกรณีศึกษาของสามบริษัทยักษ์ใหญ่ในสามทวีป Microsoft จากอเมริกา Panasonic จากญี่ปุ่น และ Nissan ที่มีโรงงานในไทย ล้วนชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า “ต้นทุนมนุษย์” กำลังเป็นสิ่งที่โลกธุรกิจลดทอนลงเพื่อความอยู่รอด
ในขณะที่รัฐบาลไทยยังวางใจในตัวเลขการจ้างงานและจีดีพีที่เติบโตเพียงเล็กน้อย แต่ในความเป็นจริง “คลื่นเศรษฐกิจโลก” กำลังถาโถม และเราเริ่มเห็นการสั่นสะเทือนเข้ามาถึงเขตเศรษฐกิจของไทยแล้ว
- กรณี Nissan ปิดโรงงานในไทย คือสัญญาณตรงถึงอุตสาหกรรมยานยนต์
- การเร่งใช้ AI ของ Microsoft ทำให้ทักษะแรงงานแบบเดิมไม่เป็นที่ต้องการ
- ความล้มเหลวของ Panasonic สะท้อนว่าประเทศอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่งยังสะเทือน
กอดงานให้แน่น หรือไม่ก็ต้องรีบวิ่งก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
ในโลกที่เทคโนโลยีกำลังก้าวเร็วกว่าแรงงาน และต้นทุนกำลังบดขยี้ทุกความฝัน ไม่มีงานใดปลอดภัยอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นแรงงานสายผลิต พนักงานออฟฟิศ นักวิเคราะห์ หรือแม้กระทั่งผู้บริหารระดับกลางที่ไม่มีทักษะเฉพาะทาง
“ใครมีงานทำอยู่ กอดงานให้แน่น” อาจฟังดูสิ้นหวัง แต่นี่คือความจริงที่เราต้องยอมรับ
ในขณะเดียวกัน ทักษะแห่งอนาคต การเรียนรู้ตลอดชีวิต (lifelong learning) และความสามารถในการปรับตัว คือเส้นทางเดียวที่จะทำให้รอดจากแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่นี้
