เหตุการณ์ไฟฟ้าดับที่เกิดขึ้นในสเปน โปรตุเกส และบางส่วนของฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2568 เป็น “บทเรียนราคาแพง” และสัญญาณเตือนถึง “ความเปราะบาง” ของการเกิดไฟฟ้าดับ เหตุการณ์นี้มีสาเหตุสำคัญจากปรากฏการณ์บรรยากาศผิดปกติซึ่งมีต้นเหตุมาจาก “ความแปรปรวนของอุณหภูมิ” ในสเปน ทำให้กำลังผลิตจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์พุ่งสูงถึง 19,060 เมกะวัตต์ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 76.5% ของความต้องการใช้ไฟฟ้าทั้งหมดในวันนั้น และเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวในเวลาไม่ถึงสองเดือน.
การที่กำลังผลิตจากโซลาร์เซลล์พุ่งสูงอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่ระบบจะรองรับได้ ทำให้โครงข่ายไฟฟ้าในสเปน “ขาดเสถียรภาพ” และลุกลามไปยังสายส่งเชื่อมโยงกับโปรตุเกส. เมื่อระบบไม่เสถียร เป็นเหตุให้โรงไฟฟ้า “ปลดตัวเองออกจากระบบ” เพื่อป้องกันความเสียหาย ส่งผลให้มีปริมาณไฟฟ้าดับมากถึง 14,280 เมกะวัตต์ ซึ่งเกินกว่าที่จะกู้คืนระบบได้อย่างรวดเร็ว.
เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่า “พลังงานหมุนเวียน” แม้จะมีสำคัญในแง่พลังงานสะอาด แต่เมื่อเกิดไฟดับ ระบบไฟฟ้าที่มั่นคง ประเภทที่มี Generator หมุน หรือ Spinning ก็ยังมีความจำเป็น ซึ่งช่วยรักษาความถี่ไฟฟ้า ที่ช่วยรักษาเสถียรภาพและ “ชะลอความถี่ไฟฟ้าไม่ให้ลดลงอย่างรวดเร็ว” เมื่อเกิดปัญหา. ดังนั้น กำลังผลิตพลังงานหมุนเวียนที่สูงจึงต้องมาพร้อม “กำลังผลิตสำรองที่เพียงพอ” จากโรงไฟฟ้าหลักที่ทำหน้าที่ Spinning Reserve.
สำหรับประเทศไทย ซึ่งกำลังวางแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP 2024) เหตุการณ์นี้คือ “สัญญาณเตือน” ที่ต้องนำมาพิจารณา โดยเน้นย้ำว่า “เสถียรภาพของระบบไฟฟ้าของประเทศมีความสำคัญที่สุด“. การวางแผน PDP 2024 ต้อง “รอบคอบ” และควบคุมสัดส่วนการผลิตพลังงานหมุนเวียนให้ “เหมาะสม” เพื่อให้ยังมีโรงไฟฟ้าหลักที่สามารถจ่ายไฟฟ้าในระยะเวลาฉุกเฉินได้รวดเร็ว เช่น โรงไฟฟ้าพลังน้ำ. นอกจากนี้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ควรพัฒนาโรงไฟฟ้าหลักให้มีความ “ยืดหยุ่นในการผลิต” (Flexible Power Plant) และ “ลงทุน” ในเทคโนโลยีเสริมความมั่นคง เช่น Static Synchronous Compensator (STATCOM) และ ระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System BESS) ขนาดใหญ่ เพื่อรับมือความผันผวนของพลังงานหมุนเวียนในอนาคต. การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดต้องควบคู่ไปกับการ “รักษาและเสริมสร้างเสถียรภาพ” ของระบบ. ความมั่นคงทางพลังงาน คือ “หัวใจ” ของความมั่นคงทางเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิต.
