ภูมิภาคอาเซียนกำลังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจที่น่าจับตา โดยเฉพาะการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของเวียดนาม ซึ่งคาดว่าจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นสำคัญระดับโลก ขณะที่ประเทศไทย ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในผู้นำเศรษฐกิจของภูมิภาคมาอย่างยาวนาน กำลังเผชิญกับความท้าทายในการรักษาตำแหน่ง
สถานการณ์เศรษฐกิจไทยปัจจุบัน: สัญญาณชะลอตัวที่ต้องจับตา
รายงานล่าสุดจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำหรับเดือนมีนาคมและไตรมาสแรกปี 2568 สะท้อนภาพเศรษฐกิจไทยที่แสดง “การชะลอลงจากเดือนก่อน” ในเดือนมีนาคม การชะลอตัวนี้ได้รับผลกระทบหลักจากภาคบริการ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ซึ่งจำนวนนักท่องเที่ยวลดลง ส่วนหนึ่งจากเดือนรอมฎอนที่มาเร็วกว่าปีก่อน และจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ยังคงหดตัว ขณะเดียวกัน การบริโภคภาคเอกชนก็ชะลอลงเช่นกัน โดยเฉพาะในหมวดบริการและสินค้าไม่คงทน ซึ่งบ่งชี้ถึงกำลังซื้อในประเทศที่อาจไม่แข็งแกร่งอย่างที่คาดหวัง และแสดงความเปราะบางของภาคส่วนที่พึ่งพิงภายนอกอย่างการท่องเที่ยว
นอกจากนี้ การลงทุนภาคเอกชนซึ่งเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจก็ปรับลดลงในหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ ตัวเลขนี้ชี้ว่า ภาคเอกชนอาจยังไม่มั่นใจเพียงพอที่จะลงทุนขยายกิจการ ซึ่งส่งผลกระทบต่อโอกาสในการสร้างงานและรายได้ในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ยังมีสัญญาณที่ดีในบางจุด เช่น การผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ดีขึ้น โดยเฉพาะหมวดยานยนต์และฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ รวมถึงการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ดีขึ้นตามวัฏจักรและแรงหนุนจากการเร่งส่งออกก่อนนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ การใช้จ่ายภาครัฐก็ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง แสดงให้เห็นความสามารถในการปรับตัวของเศรษฐกิจไทยในบางอุตสาหกรรม แต่ความท้าทายยังคงอยู่ที่การกระจายผลดีให้ทั่วถึง ตลาดแรงงานแม้การจ้างงานโดยรวมจะดีขึ้นเล็กน้อย แต่ ธปท. เน้นย้ำให้ติดตามผลกระทบจากนโยบายการค้าสหรัฐฯ และการชะลอตัวของภาคท่องเที่ยว เสถียรภาพทางเศรษฐกิจพบว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและเงินเฟ้อพื้นฐานลดลง ซึ่งเป็นผลดีต่อกำลังซื้อในระยะสั้น ขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลลดลง
โดยสรุป เศรษฐกิจไทย ณ เดือนมีนาคม 2568 ยังคงแสดงภาพความเปราะบางจากการพึ่งพิงภาคบริการและการส่งออกที่ยังไม่ฟื้นเต็มที่ รวมถึงการลงทุนภาคเอกชนที่ชะลอ
เวียดนาม: พุ่งเป้าสู่การเป็นยักษ์ใหญ่แห่งอาเซียน
ในทางตรงกันข้าม ข้อมูลจากบทความ “‘เวียดนาม’ จ่อแซง ‘ไทย’ เศรษฐกิจใหญ่เบอร์ 2 ของอาเซียน” และการคาดการณ์จากศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (CEBR) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ฉายภาพอนาคตที่สดใสและเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นของเวียดนาม IMF คาดการณ์ว่า ภายในปี 2568 เวียดนามจะไต่ขึ้นมาเป็นอันดับ 3 ของอาเซียน ด้วย GDP 5.71 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ แซงหน้ามาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ โดยตามหลังเพียงอินโดนีเซียและไทยเท่านั้น
เวียดนามมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจ 5 ปี (พ.ศ. 2564-2568) ที่มุ่งเน้นการเติบโตจากภาคการผลิต โดยได้รับแรงหนุนจากการบูรณาการเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานโลกและการกระจายความเสี่ยงในการส่งออก พวกเขายังตั้งเป้าเป็น ประเทศรายได้สูงภายในปี 2588 ซึ่งต้องอาศัยการเติบโตของ GDP ต่อหัวเฉลี่ยประมาณ 5% ต่อปี แผนปัจจุบันคาดการณ์การเติบโตเฉลี่ยสูงถึง 6.5% ต่อปีในทศวรรษหน้า ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนในการใช้ภาคการผลิตเป็นหัวหอกขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
CEBR และ IMF คาดการณ์ว่า แม้ในปี 2570 GDP ของไทย (6.92 แสนล้านดอลลาร์) และเวียดนาม (6.90 แสนล้านดอลลาร์) จะยังใกล้เคียงกัน แต่หลังจากปี 2571 เป็นต้นไป ขนาดเศรษฐกิจของเวียดนามจะแซงหน้าไทยอย่างเป็นทางการ ทำให้ไทยหล่นไปอยู่อันดับ 3 ในภูมิภาค CEBR คาดว่าภายในปี 2579 เศรษฐกิจเวียดนามจะแซงหน้าประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศได้ ตัวเลขเหล่านี้บ่งชี้ว่าด้วยอัตราการเติบโตที่เร็วกว่า เวียดนามกำลังลดช่องว่างกับไทยอย่างรวดเร็ว
แม้จะมีศักยภาพสูง เวียดนามก็เผชิญความท้าทายเช่นกัน ทั้งจากการค้าโลกที่ถดถอยและสังคมผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น รวมถึงความจำเป็นในการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินนโยบาย
สัญญาณเตือนสำหรับไทย
การเปรียบเทียบสถานการณ์ไทยและเวียดนามไม่ใช่แค่การวัดขนาดตัวเลข GDP แต่สะท้อนถึงโมเดลการเติบโตที่แตกต่างกัน สำหรับประเทศไทย ตัวเลขที่ชะลอลงในภาคบริการและการบริโภคสะท้อนความจำเป็นในการ ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ลดการพึ่งพิงปัจจัยภายนอก และเสริมสร้างความแข็งแกร่งจากภายใน การที่เวียดนามกำลังจะแซงหน้าเป็นสัญญาณเตือนว่า เศรษฐกิจไทยจำเป็นต้องเร่งเครื่องยนต์ใหม่ๆ สร้างความสามารถในการแข่งขันระดับโลก และดูแลผลกระทบต่อประชาชน โดยเฉพาะความมั่นคงทางรายได้ ในภาวะตลาดแรงงานยังมีความไม่แน่นอน
สำหรับเวียดนาม การเติบโตที่พุ่งแรงโดยมีภาคการผลิตและส่งออกเป็นหัวใจหลักนำมาซึ่งโอกาสในการยกระดับชีวิตผู้คนจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม การเติบโตอย่างรวดเร็วย่อมมาพร้อมความท้าทายด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม การบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นกุญแจสำคัญสู่การเป็นประเทศรายได้สูงอย่างยั่งยืน

อ้างอิงข้อมูล : bangkokbiznews ธนาคารแห่งประเทศไทย