พลังงานทดแทน ความประหยัดที่อาจมาพร้อมความเสี่ยงไฟฟ้าดับ? มุมมองจากสถานการณ์โลกถึงประเทศไทย

ในยุคที่ทั่วโลกต่างมุ่งหน้าสู่การใช้พลังงานสะอาดเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม พลังงานหมุนเวียนโดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม ได้กลายเป็นตัวเลือกสำคัญในการผลิตไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม การพึ่งพาพลังงานที่ขึ้นอยู่กับสภาวะธรรมชาติอย่างพลังงานทดแทน อาจนำมาซึ่งความท้าทายด้านความมั่นคงและความน่าเชื่อถือของระบบไฟฟ้า คำถามคือ ความประหยัดและยั่งยืนของพลังงานทดแทนนั้น มาคู่กับความเสี่ยงด้านไฟฟ้าดับหรือไม่ และประเทศต่างๆ รวมถึงประเทศไทย มีสถานะและแนวทางการรับมืออย่างไร

สถานการณ์ไฟฟ้าดับในประเทศต่างๆ: หลากหลายสาเหตุและความท้าทาย

แหล่งข้อมูลได้รวบรวมเหตุการณ์ไฟฟ้าดับครั้งใหญ่หลายครั้งในประวัติศาสตร์ ซึ่งเผยให้เห็นสาเหตุที่หลากหลายและผลกระทบที่รุนแรงในวงกว้าง

เหตุการณ์ไฟฟ้าดับใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลกเกิดขึ้นที่ อินเดีย ในปี 2555 ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชากรกว่า 670 ล้านคน หรือเกือบ 10% ของประชากรโลกในขณะนั้น สาเหตุมาจากเครือข่ายไฟฟ้าในภาคเหนือและภาคตะวันออกรับภาระเกิน เนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงในช่วงฤดูร้อน เหตุการณ์นี้ทำให้การคมนาคมหยุดชะงัก ทั้งรถไฟและรถไฟฟ้าใต้ดิน รวมถึงไฟจราจรดับ ส่งผลให้การจราจรติดขัด โรงพยาบาล ธุรกิจ ร้านค้า และบ้านเรือนไม่มีไฟฟ้าใช้เป็นเวลาหลายชั่วโมง อินเดียยังเคยประสบเหตุไฟฟ้าดับครั้งใหญ่อีกครั้งในปี 2544 ที่กระทบ 230 ล้านคนในภาคเหนือ เกิดจากสถานีไฟฟ้าย่อยขัดข้องและอุปกรณ์ส่งสัญญาณไม่เพียงพอ

ปากีสถาน ก็เพิ่งประสบเหตุไฟฟ้าดับครั้งใหญ่ในปี 2566 กระทบประชากรเกือบทั้งประเทศ (99% หรือ 230 ล้านคน) ไฟฟ้าดับนานหลายชั่วโมงถึงหลายวันในบางพื้นที่ สาเหตุเริ่มต้นที่จังหวัดสินธ์ ทางตอนใต้ จากแรงดันไฟฟ้าผันผวนผิดปกติ นำไปสู่ความล้มเหลวต่อเนื่องในโรงไฟฟ้าทั่วประเทศ

ปัญหาไฟฟ้าดับที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในปากีสถานนี้เอง กลายเป็นแรงผลักดันให้ประชาชนและธุรกิจขนาดเล็กหันมาติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้านเพื่อเป็นแหล่งพลังงานที่ถูกกว่า ยั่งยืนกว่า และเชื่อถือได้มากกว่า ในปี 2024 ปากีสถานได้นำเข้าแผงโซลาร์เซลล์ถึง 17 กิกะวัตต์ ทำให้กลายเป็นหนึ่งในผู้ซื้อรายใหญ่ที่สุดของโลก การเติบโตของพลังงานแสงอาทิตย์ในปากีสถานส่วนใหญ่มาจากความต้องการของประชาชนโดยตรง เพื่อแก้ปัญหาไฟฟ้าดับและต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น ซึ่งแตกต่างจากประเทศอื่นที่มักมาจากนโยบายภาครัฐ ผู้เชี่ยวชาญมองว่านี่คือ “การตอบสนองเพื่อความอยู่รอด” อย่างไรก็ตาม การติดตั้งโซลาร์เซลล์จำนวนมากที่มักทำงานนอกกริดอย่างไม่เป็นทางการ อาจทำให้โครงข่ายไฟฟ้าดั้งเดิมต้องปรับตัวอย่างมากเพื่อรักษาบทบาทของตน และนักวิเคราะห์เตือนว่าจำเป็นต้องมีการวางแผน กฎระเบียบ การจัดการคุณภาพและระบบจัดเก็บพลังงานควบคู่ไปด้วย เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านพลังงานนี้ยั่งยืนและบริหารจัดการได้

ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เวียดนาม ก็เผชิญปัญหาไฟฟ้าดับบ่อยครั้ง ซึ่งกลายเป็นปัญหาอันดับต้นๆ ของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ที่ต้องการความเสถียรสูง ปัญหาไฟฟ้าขาดแคลนรุนแรงขึ้นในช่วงฤดูแล้งเมื่อการผลิตไฟฟ้าจากพลังน้ำลดน้อยลง ทำให้บางครั้งโรงงานของบริษัทระดับโลก เช่น Samsung ต้องหยุดชะงัก เพื่อแก้ปัญหานี้ เวียดนามอยู่ระหว่างหารือโครงการพลังงานใหม่ๆ รวมถึงการเพิ่มการนำเข้าถ่านหิน ซึ่งเป็นความท้าทายต่อเป้าหมายพลังงานหมุนเวียนของประเทศ สถานการณ์นี้ทำให้เวียดนามมองมาเลเซียและอินเดียเป็นคู่แข่งสำคัญในการดึงดูดการลงทุนด้านชิป แสดงให้เห็นว่าการพึ่งพาพลังงานหมุนเวียนประเภทเดียว (พลังน้ำ) ที่อ่อนไหวต่อสภาพอากาศ อาจนำไปสู่ความไม่มั่นคงทางพลังงานและส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจสำคัญได้

ประเทศเพื่อนบ้านอย่าง สปป.ลาว ซึ่งพึ่งพาการผลิตไฟฟ้าจากพลังน้ำถึง 95% สำหรับการบริโภคในประเทศ ก็ประสบปัญหาไฟฟ้าไม่เพียงพอเช่นกันเนื่องจากภัยแล้งที่ยาวนาน ทำให้ปริมาณน้ำในเขื่อนลดลงมาก กำลังการผลิตในประเทศไม่เพียงพอต่อความต้องการสูงสุด ทำให้ต้องนำเข้าไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ไทย การไฟฟ้าลาวต้องบริหารจัดการพลังงานโดยการปิดพื้นที่บางส่วน โดยเฉพาะธุรกิจที่ใช้ไฟฟ้าปริมาณมาก เช่น การทำเหมืองคริปโต เพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบ เหตุการณ์ในลาวตอกย้ำความเสี่ยงของการพึ่งพาแหล่งพลังงานหมุนเวียนที่ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศเพียงแหล่งเดียว

เหตุการณ์ไฟฟ้าดับครั้งใหญ่ใน สเปนและโปรตุเกส เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2568 ที่ส่งผลกระทบต่อประชากรกว่า 58 ล้านคนในคาบสมุทรไอบีเรียและบางส่วนของฝรั่งเศส แสดงให้เห็นถึงผลกระทบอันมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นการหยุดชะงักของรถไฟและเที่ยวบิน การจราจรที่เป็นอัมพาต ไฟจราจรดับ ผู้คนติดอยู่ในลิฟต์ การยกเลิกการผ่าตัดในโรงพยาบาล และการเข้าถึงสัญญาณมือถือยากในบางพื้นที่ แม้สาเหตุของเหตุการณ์นี้ยังอยู่ระหว่างการสอบสวน และผู้เกี่ยวข้องระบุว่าอาจเกิดจากปัญหาการเชื่อมต่อโครงข่ายไฟฟ้าระหว่างฝรั่งเศสและสเปนร่วมกับปัจจัยอื่น โดยยังไม่มีสัญญาณบ่งชี้ว่าเป็นการโจมตีทางไซเบอร์ แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นชี้ให้เห็นถึงความเปราะบางของระบบโครงข่ายไฟฟ้าขนาดใหญ่เมื่อเกิดเหตุขัดข้อง

ประเทศไทย: ความมั่นคงในปัจจุบันและความท้าทายในอนาคต?

ประเทศไทยเองแม้ไม่ติดอันดับเหตุการณ์ไฟฟ้าดับครั้งใหญ่ที่สุดในโลก แต่ก็เคยเผชิญสถานการณ์ไฟฟ้าดับเป็นวงกว้างเช่นกัน เช่น ในปี 2521 ที่เครื่องกำเนิดไฟฟ้าขัดข้องกระทบประชากรกว่า 40 ล้านคน และปี 2556 ที่ไฟฟ้าดับใน 14 จังหวัดภาคใต้

ปัจจุบัน จากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ประเทศไทยได้เกิดความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (พีคไฟฟ้า) ในปี 2568 ไปแล้วที่ระดับ 32,882.3 เมกะวัตต์ เมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2568 แม้กระทรวงพลังงานคาดว่าพีคไฟฟ้าในปีนี้จะใกล้เคียงกับพีคสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวันที่ 2 พ.ค. 2567 ที่ 36,792.1 เมกะวัตต์ แต่กำลังการผลิตไฟฟ้าของไทยในปี 2568 ยังคงเพียงพอรองรับได้อย่างแน่นอน โดยมีกำลังการผลิตใกล้เคียงกับปี 2567 ที่ประมาณ 55,947 เมกะวัตต์ และที่สำคัญ ประเทศไทยยังมีปริมาณไฟฟ้าสำรองสูงถึง 25.5% ณ สิ้นปี 2567 ซึ่งยืนยันว่าเพียงพอรองรับพีคไฟฟ้าในปี 2568 ได้แน่นอน สภาพอากาศที่แปรปรวนในช่วงต้นฤดูร้อนปี 2568 ที่ยังมีฝนตกในบางพื้นที่ ช่วยให้อุณหภูมิไม่ร้อนพร้อมกันทั่วประเทศ ส่งผลให้ยอดใช้ไฟฟ้ายังไม่แตะระดับสูงมากนักในบางช่วง

สถานการณ์ปัจจุบันของไทยที่เน้นย้ำถึงกำลังการผลิตที่เพียงพอและปริมาณสำรองที่สูง ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยรักษาความมั่นคงของระบบไฟฟ้าไว้ได้ ทำให้ไทยยังคงมีความพร้อมในการตอบสนองความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน

คำถามสำหรับอนาคตของประเทศไทย:

จากบทเรียนของประเทศอื่นๆ และสถานการณ์ของประเทศไทยเอง ทำให้เกิดคำถามสำคัญเกี่ยวกับทิศทางพลังงานในอนาคต:

  • หากประเทศไทยนิยมใช้โซลาร์เซลล์มากเกินไป ผลกระทบที่ตามมาจะแบกรับไหวหรือไม่? บทเรียนจากปากีสถานแสดงให้เห็นว่า การติดตั้งโซลาร์เซลล์จำนวนมากที่ขับเคลื่อนโดยประชาชน อาจสร้างความท้าทายต่อโครงข่ายไฟฟ้าดั้งเดิมและผู้ให้บริการระบบ หากไม่มีการวางแผนที่ดี ระบบกริดอาจไม่สามารถรองรับกระแสไฟฟ้าที่ไหลเข้า-ออกอย่างไม่สม่ำเสมอจากโซลาร์เซลล์ตามบ้านจำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ เสถียรภาพของแรงดันไฟฟ้าอาจได้รับผลกระทบ และรูปแบบธุรกิจของบริษัทไฟฟ้าอาจเปลี่ยนแปลงไป จำเป็นต้องมีการลงทุนในระบบบริหารจัดการกริดอัจฉริยะ (Smart Grid) และระบบกักเก็บพลังงาน (Battery Storage) ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนสูง เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านพลังงานนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของระบบโดยรวมในระยะยาว
  • หากไทยไม่มีไฟฟ้าสำรองมากเพียงพอจะเกิดผลกระทบหรือไม่? แหล่งข้อมูลเน้นย้ำว่าปัจจุบันไทยมีไฟฟ้าสำรองสูงถึง 25.5% แต่หากสมมติว่าในอนาคตสถานการณ์เปลี่ยนไปและปริมาณสำรองลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ผลกระทบจะรุนแรงมากดังที่เห็นในประเทศอื่นๆ เช่น เวียดนามและลาวที่ประสบปัญหาการผลิตไม่เพียงพอจากพลังน้ำในฤดูแล้งจนต้องตัดไฟบางส่วนและกระทบภาคธุรกิจ หรือเหตุการณ์ไฟฟ้าดับใหญ่ในหลายประเทศที่ทำให้ระบบคมนาคม ธุรกิจ บริการสาธารณะ และชีวิตประจำวันของประชาชนต้องหยุดชะงัก การไม่มีไฟฟ้าสำรองที่เพียงพอหมายถึงความเสี่ยงสูงที่จะเกิดไฟฟ้าดับเป็นวงกว้างเมื่อมีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงกว่ากำลังการผลิต หรือเมื่อมีโรงไฟฟ้าหลักขัดข้อง
  • หากไทยต้องเจอสถานการณ์แบบเดียวกัน (ไฟฟ้าดับใหญ่จากสาเหตุต่างๆ) จะรับมืออย่างไร? ประเทศไทยมีประสบการณ์จากเหตุการณ์ไฟฟ้าดับในอดีต และมีหน่วยงานที่รับผิดชอบ อย่างไรก็ตาม หากเผชิญเหตุการณ์ไฟฟ้าดับใหญ่ในระดับเดียวกับสเปน-โปรตุเกส หรืออินเดีย ที่กระทบผู้คนนับสิบล้าน การรับมือจะมีความซับซ้อนสูง ต้องอาศัยการประสานงานฉุกเฉินในระดับชาติ การสำรองพลังงานสำหรับโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ (โรงพยาบาล การสื่อสาร การขนส่ง) แผนการบริหารจัดการจราจรและความปลอดภัยสาธารณะ การสื่อสารข้อมูลที่ชัดเจนแก่ประชาชน รวมถึงแผนการกู้คืนระบบไฟฟ้าอย่างรวดเร็ว ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องมีการเตรียมพร้อมและฝึกซ้อมล่วงหน้า แม้ปัจจุบันปริมาณสำรองที่สูงจะช่วยป้องกันเหตุไฟฟ้าไม่เพียงพอได้ แต่สาเหตุไฟฟ้าดับอาจมาจากปัจจัยอื่น เช่น ความขัดข้องของอุปกรณ์ ความผิดพลาดในโครงข่าย หรือภัยธรรมชาติ ดังที่เกิดขึ้นในประเทศอื่นๆ

ไทยพร้อมหรือยังกับการรับมือ?

ในปัจจุบัน ข้อมูลจากแหล่งที่มาบ่งชี้ว่าประเทศไทยมีความพร้อมด้านกำลังการผลิตไฟฟ้าและปริมาณสำรองที่สูง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงจากปัญหาไฟฟ้าไม่เพียงพอในช่วงที่มีความต้องการสูงสุดได้อย่างดีเยี่ยม อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานสะอาดเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและการวางแผนอย่างรอบคอบ บทเรียนจากประเทศอื่นๆ เช่น ปากีสถาน เวียดนาม และลาว แสดงให้เห็นถึงความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นจากการพึ่งพาพลังงานทดแทน ไม่ว่าจะเป็นความอ่อนไหวต่อสภาพอากาศ (เช่น พลังน้ำในเวียดนามและลาวช่วงภัยแล้ง) หรือความซับซ้อนในการบริหารจัดการโครงข่ายไฟฟ้าเมื่อมีการผลิตไฟฟ้าแบบกระจายจำนวนมาก (เช่น ศักยภาพของโซลาร์เซลล์บนหลังคาในปากีสถาน)

ประเทศไทยจึงยังคงต้องจับตาและวางแผนอย่างรอบคอบสำหรับการบูรณาการพลังงานทดแทนเข้าสู่ระบบในสัดส่วนที่มากขึ้นในอนาคต การพิจารณาถึงความสมดุลระหว่างความประหยัดและความมั่นคงทางพลังงาน การลงทุนในเทคโนโลยีเสริม เช่น ระบบกักเก็บพลังงานและโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ รวมถึงการรักษาปริมาณกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองที่เพียงพอจากแหล่งพลังงานที่หลากหลาย ยังคงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้มั่นใจว่าการมุ่งสู่พลังงานสะอาดของไทย จะไม่นำไปสู่ความเสี่ยงด้านไฟฟ้าดับที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่และเศรษฐกิจของประเทศดังที่เกิดขึ้นในหลายมุมโลก