เงินหมื่นดิจิทัลวอลเล็ต: ยาขนานเอก หรือแค่บรรเทาอาการเศรษฐกิจไทย?

โครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ซึ่งเป็นนโยบายเรือธงของรัฐบาล เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและวางรากฐานระบบดิจิทัลของประเทศ กำลังก้าวเข้าสู่ระยะที่ 3 โดยมุ่งเป้าหมายไปที่เยาวชนอายุ 16-20 ปี ราว 2.7 ล้านคน ด้วยวงเงินรวม 27,000 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มจ่ายเงินในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2568 ท่ามกลางเสียงวิพากษ์จากนักเศรษฐศาสตร์และองค์กรระหว่างประเทศ ถึงประสิทธิภาพในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ และความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการคลังของประเทศในระยะยาว

โครงการนี้ถูกออกแบบให้ดำเนินการเป็นเฟส โดยแต่ละเฟสมีเกณฑ์และกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน เพื่อให้สามารถครอบคลุมประชากรหลากหลายกลุ่มตามลำดับความพร้อมด้านเทคโนโลยีและเศรษฐกิจของแต่ละคน โดยเฉพาะในเฟสที่ 3 รัฐบาลพยายามชูจุดแข็งของระบบ ดิจิทัลวอลเล็ต ว่าจะสามารถควบคุมการใช้จ่ายได้มากขึ้นกว่าการแจกเงินสดในเฟสก่อนหน้า และช่วยให้เกิดการหมุนเวียนเงินในระบบเศรษฐกิจอย่างแท้จริง

เจาะเฟส 3: เติมพลังให้เยาวชนหรือแค่บรรเทาความเดือดร้อน?

เฟส 3 ของโครงการเน้นไปที่ เยาวชนอายุระหว่าง 16-20 ปี ซึ่งมีจำนวนประมาณ 2.7 ล้านคน ผู้มีคุณสมบัติเข้าร่วมโครงการต้องมีสัญชาติไทย ลงทะเบียนสำเร็จผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” ไม่มีเงินฝากรวมเกิน 500,000 บาท และมีรายได้พึงประเมินไม่เกิน 840,000 บาทในปีภาษี 2566

เงินจะโอนเข้าสู่ ดิจิทัลวอลเล็ต และสามารถใช้จ่ายได้เฉพาะในพื้นที่ตามทะเบียนบ้าน โดยไม่สามารถโอนเงิน ซื้อสินค้าออนไลน์ หรือซื้อสินค้า/บริการต้องห้าม (เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือบุหรี่) ได้ จุดนี้เองที่รัฐบาลเชื่อว่าจะทำให้เกิดผลคูณทางเศรษฐกิจในชุมชน (Local Multiplier Effect)

แผนต่อเนื่อง: การขยายกลุ่มเป้าหมายในเฟส 4 และ 5

หลังจากเฟส 3 เสร็จสิ้น รัฐบาลเตรียมขยายไปยังเฟส 4 ซึ่งครอบคลุมประชาชนอายุ 21-59 ปี ที่เคยลงทะเบียนไว้ โดยเตรียมงบประมาณรอไว้แล้ว คาดว่าจะเริ่มได้ภายในไตรมาสที่ 3 ของปี 2568 ขณะที่เฟส 5 จะเปิดโอกาสให้ผู้ไม่มีสมาร์ทโฟนสามารถเข้าถึงได้ โดยการลงทะเบียนผ่านธนาคารของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือไปรษณีย์ไทย เพื่อไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

เสียงวิจารณ์: ยาแก้โรคไม่ตรงจุด?

แม้รัฐบาลจะเชื่อมั่นในศักยภาพของนโยบายนี้ แต่ภาควิชาการและสถาบันการเงินหลายแห่งกลับแสดงความกังวลต่อผลลัพธ์ที่แท้จริงของโครงการ เช่น

  • ธนาคารโลก ประเมินว่าโครงการในเฟสแรก (แจกเงินผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ) จะช่วยกระตุ้น GDP ปี 2567 ได้เพียง 0.3% แต่ใช้ต้นทุนทางการคลังสูงถึง 145,000 ล้านบาท หรือ 0.8% ของ GDP ซึ่งเสี่ยงทำให้หนี้สาธารณะเข้าใกล้เพดาน 70%
  • SCB EIC ชี้ว่า ผลการกระตุ้นในไตรมาส 4 ปี 2567 ต่ำกว่าคาด และตั้งข้อสังเกตว่าโครงการนี้ “ไม่มีเงื่อนไขการใช้จ่ายที่ชัดเจน” ทำให้ประชาชนอาจใช้จ่ายเพื่อชำระหนี้ หรือในสินค้าและบริการจำเป็นอยู่แล้ว ซึ่งไม่สร้างการบริโภคเพิ่มเติมอย่างแท้จริง
  • ศ.พรายพล คุ้มทรัพย์ อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เตือนว่า “ยิ่งเดินหน้ายิ่งผิดโจทย์” เพราะการแจกเงินลักษณะนี้เปรียบเสมือน “น้ำพริกละลายแม่น้ำ” ที่ให้ผลระยะสั้น แต่ไม่สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ KKP Research ยังคาดการณ์ว่า หากยังใช้งบประมาณมหาศาลกับมาตรการที่ไม่มีผลชัดเจน หนี้สาธารณะของไทยอาจแตะ 70% ของ GDP ภายใน 2 ปีข้างหน้า ซึ่งจะกระทบต่อความยั่งยืนของระบบการคลังอย่างหนัก

วอลเล็ตดิจิทัลในบริบทของ “เศรษฐกิจเปลี่ยนผ่าน”

แม้เสียงวิจารณ์จะมีมาก แต่กระทรวงการคลังยังคงยืนยันว่าโครงการนี้จะมีประสิทธิภาพสูงกว่าเดิม หากสามารถกำหนดเงื่อนไขการใช้จ่ายได้ละเอียดขึ้น โดยมุ่งเน้นให้เงินถูกใช้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจระดับท้องถิ่น อีกทั้งยังถือเป็นก้าวสำคัญสู่ เศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) ที่รัฐบาลต้องการผลักดันอย่างต่อเนื่อง

การออกแบบแพลตฟอร์มดิจิทัลวอลเล็ต จึงไม่ใช่เพียงเรื่องการโอนเงินอย่างมีเงื่อนไขเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสามารถในการเก็บข้อมูลการใช้จ่าย ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับนโยบายทางเศรษฐกิจให้ตรงจุดยิ่งขึ้นในอนาคต หากสามารถบริหารจัดการความเป็นส่วนตัวและความมั่นคงทางข้อมูลได้อย่างเหมาะสม

ภัยเงียบจาก “ข่าวปลอม” ที่ประชาชนต้องระวัง

ท่ามกลางกระแสความสนใจของสังคม ได้เกิด ข่าวปลอม มากมายเกี่ยวกับโครงการนี้ เช่น การแอบอ้างแจกเงิน 9 เฟสตามช่วงอายุ หรือการหลอกให้คลิกลิงก์ปลอมเพื่อรับสิทธิ์ กระทรวงการคลังได้ออกมาเตือนให้ประชาชนติดตามเฉพาะข่าวจากแหล่งทางการ และอย่าคลิกลิงก์จากข้อความที่ไม่น่าเชื่อถือ เพื่อหลีกเลี่ยงการตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ

<strong>เงินหมื่นดิจิทัลวอลเล็ต ยาขนานเอก หรือแค่บรรเทาอาการเศรษฐกิจไทย</strong>