ทำไมทรัมป์เก็บภาษีไทย 37% ถึงเป็นเรื่องน่าห่วง? ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและธุรกิจไทยในตลาดสหรัฐฯ

การประกาศใช้นโยบายภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งรวมถึงการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยในอัตราสูงถึง 37% ตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2568 ถือเป็นประเด็นที่น่ากังวลอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจไทยและโดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจที่พึ่งพาตลาดสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก การขึ้นภาษีครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทย แต่ยังอาจนำไปสู่ความเสียหายทางเศรษฐกิจในวงกว้าง

ผลกระทบต่อการส่งออกของไทย

สหรัฐอเมริกาถือเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของไทย โดยในปีที่ผ่านมามีมูลค่าสูงถึง 1.892 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 9.88% ของ GDP ไทย การที่สหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้การนำเข้าจากไทยในอัตราที่สูงถึง 37% ซึ่งสูงกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดสหรัฐฯ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ดร.ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย มองว่านโยบายการขึ้นภาษีของทรัมป์เป็นการเปลี่ยนแปลงระบบการค้าโลก โดยสหรัฐฯ ใช้อำนาจและผลประโยชน์ของตัวเองเป็นหลัก การขึ้นภาษีครั้งนี้จะทำให้ราคาสินค้าไทยในสหรัฐฯ สูงขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การชะลอการนำเข้าและการขาดแคลนสินค้า ผู้ส่งออกหลายรายในไทยเริ่มมีการยกเลิกคำสั่งซื้อ หรือซื้อขายแบบไม่มี L/C สะท้อนถึงความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น

สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) คาดการณ์ว่า มูลค่าส่งออกของ SMEs ไปยังสหรัฐฯ ในปี 2568 จะลดลง 1,128 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 38,300 ล้านบาท และอาจส่งผลให้ GDP ของภาค SMEs ปี 2568 ลดลง 0.2% และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยคาดการณ์ว่า มาตรการภาษีนี้อาจสร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจไทยถึง 374,851.8 ล้านบาท และฉุดให้ GDP ไทยปีนี้ลดลง 2.02% เหลือเติบโตเพียง 1% ส่วนประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) คาดการณ์มูลค่าความเสียหายจากการขึ้นภาษีดังกล่าวราว 8-9 แสนล้านบาท

ผลกระทบต่อผู้ส่งออกไทย 3,700 รายที่มีความเสี่ยง

จากข้อมูลในปี 2024 พบว่า SMEs พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ สูงถึง 20% ด้วยมูลค่า 7,634 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือมีส่วนแบ่งของการส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ที่ 14% สสว. ระบุว่า มีสินค้า 12 กลุ่มหลักที่พึ่งพิงการส่งออกไปสหรัฐฯ ในระดับสูง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อ SMEs ประมาณ 3,700 ราย กลุ่มสินค้าเหล่านี้ ได้แก่:

  • อุปกรณ์ไฟฟ้า
  • อัญมณีและเครื่องประดับ
  • เครื่องจักรและส่วนประกอบ
  • เฟอร์นิเจอร์
  • ของทำด้วยเหล็กหรือเหล็กกล้า
  • ยานยนต์และชิ้นส่วน
  • ของปรุงแต่งทำจากพืชผักผลไม้
  • อะลูมิเนียมและของทำด้วยอะลูมิเนียม
  • เครื่องแต่งกายถักแบบนิตหรือแบบโครเชต์
  • ธัญพืช (ข้าว)
  • กลุ่มยางและผลิตภัณฑ์ยาง
  • กลุ่มเนื้อสัตว์แปรรูป

ผู้ส่งออกในกลุ่มเหล่านี้จะเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นอย่างมากเนื่องจากภาษีที่เพิ่มขึ้น ทำให้สินค้าของตนเสียเปรียบด้านราคาเมื่อเทียบกับคู่แข่งจากประเทศอื่นที่ไม่ถูกเก็บภาษีในอัตราสูงเท่ากัน หรือคู่แข่งที่มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่า สถานการณ์นี้อาจนำไปสู่การลดลงของปริมาณการสั่งซื้อ การสูญเสียตลาด และในที่สุดอาจส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องทางการเงิน การจ้างงาน และความอยู่รอดของธุรกิจเหล่านี้

มาตรการรับมือของไทย

รัฐบาลไทยตระหนักถึงความเสียหายและผลกระทบที่จะเกิดขึ้น และได้เริ่มดำเนินการเพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เปิดเผย 5 แผนเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ โดยมีเป้าหมายไม่ใช่การลดภาษี แต่เป็นการลดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้เวลากว่า 10 ปี:

  1. นำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ มากขึ้น โดยเน้นสินค้าที่ไทยมีความต้องการ เช่น สินค้าเกษตร เครื่องในสุกร และสินค้าพลังงานอย่างก๊าซธรรมชาติ
  2. ลดหรือยกเว้นภาษีให้กับสินค้าสหรัฐฯ ที่ไทยเก็บภาษีได้ไม่สูงนัก กว่า 100 รายการ
  3. ยกเลิกมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (Non-tariff barrier) เพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้ากับสหรัฐฯ
  4. ให้ความสำคัญกับการคัดถิ่นกำเนิดสินค้า เพื่อป้องกันการสวมสิทธิแหล่งกำเนิดสินค้าจากไทยไปสหรัฐฯ
  5. สนับสนุนภาคเอกชนไทยที่มีศักยภาพให้ไปลงทุนในสหรัฐฯ มากขึ้น เช่น ภาคเกษตรและพลังงาน

ขณะที่ ดร.ธนิต โสรัตน์ เสนอแนะว่า รัฐบาลจำเป็นต้องศึกษาผลกระทบอย่างครอบคลุมทุกมิติ และอาจต้องพิจารณามาตรการ เช่น การเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ โดยอาจมีมาตรการลดภาษีนำเข้าเพื่อจูงใจ อย่างไรก็ตาม ต้องระมัดระวังไม่ให้การลดภาษีกระทบต่อการแข่งขันกับประเทศอื่น นอกจากนี้ การปราบปรามการสวมสิทธิถิ่นกำเนิดสินค้าก็เป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันสินค้าจีนทะลักเข้ามา

ในระยะยาว SMEs ไทยจำเป็นต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วน โดยมุ่งเน้นการค้นหาตลาดใหม่และคู่ค้าในภูมิภาค รวมถึงใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) และพิจารณาใช้ฐานการผลิตจากประเทศที่ไม่ได้รับผลกระทบจากภาษี รัฐบาลควรให้การสนับสนุนด้านข้อมูล ความรู้ และช่องทางการตลาดใหม่ๆ เพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ

ผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อดัชนีตลาดหุ้น

ความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของมาตรการภาษีของทรัมป์ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงสหรัฐฯ ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงกว่า 300 จุด เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลก่อนเส้นตายการเรียกเก็บภาษีศุลกากร โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษีที่สูงถึง 104% จากสินค้าจีน ความไม่แน่นอนในนโยบายการค้าส่งผลให้ตลาดมีความผันผวนสูง

ถึงแม้ว่าไทยจะถูกเก็บภาษีในอัตรา 37% ซึ่งต่ำกว่าจีน แต่ผลกระทบต่อภาคการส่งออกและเศรษฐกิจโดยรวมของไทยก็อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้เช่นกัน หากภาคการส่งออกชะลอตัวลงและบริษัทจดทะเบียนได้รับผลกระทบจากต้นทุนที่สูงขึ้น หรือยอดขายที่ลดลง ก็อาจนำไปสู่การปรับตัวลงของดัชนีตลาดหุ้นได้

ท่าทีของทรัมป์กับจีนและนัยต่อไทย

ประธานาธิบดีทรัมป์แสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อจีน โดยมีการเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราที่สูงมากถึง 104% สำหรับสินค้าบางประเภท ทรัมป์กล่าวว่าจีน “ต้องการทำข้อตกลงอย่างมาก แต่พวกเขาไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร” นอกจากนี้ ทรัมป์ยังได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพิ่มภาษีสินค้าราคาถูกจากจีนที่ส่งทางไปรษณีย์เป็น 90%

ท่าทีดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า ทรัมป์พร้อมที่จะใช้มาตรการทางภาษีอย่างหนักเพื่อผลประโยชน์ทางการค้าของสหรัฐฯ แม้ว่าจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศก็ตาม การที่ไทยถูกเก็บภาษีในอัตราที่สูงเช่นกัน แสดงให้เห็นว่านโยบาย “America First trade Policy” ของทรัมป์นั้นครอบคลุมหลายประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐฯ การเจรจาต่อรองกับทรัมป์จึงเป็นเรื่องที่ท้าทาย เนื่องจากเป็นการพิจารณาฝ่ายเดียวภายใต้นโยบาย “America Great Again”

แนวทางการรับมือในระยะยาว

ในระยะยาว ประเทศไทยจำเป็นต้องลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ เพียงอย่างเดียว และหันมาให้ความสำคัญกับการกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดอื่นๆ ทั่วโลก การส่งเสริมการค้าและการลงทุนกับประเทศในกลุ่มอาเซียน เอเชีย และภูมิภาคอื่นๆ ที่มีศักยภาพในการเติบโตเป็นสิ่งสำคัญ

นอกจากนี้ การเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจภายในประเทศ การส่งเสริมการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิต และการสร้างนวัตกรรมเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและบริการ จะช่วยลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าของประเทศคู่ค้าได้ การใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ที่ไทยมีอยู่กับหลายประเทศทั่วโลกก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางสำคัญในการขยายโอกาสทางการค้า

การที่ประธานาธิบดีทรัมป์เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยในอัตราสูงถึง 37% เป็นเรื่องที่น่าห่วงอย่างยิ่ง เนื่องจากจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการ SMEs จำนวน 3,700 รายที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ เป็นหลัก รัฐบาลไทยได้เริ่มดำเนินมาตรการเพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว แต่ในระยะยาว การปรับตัวของผู้ประกอบการ การกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดใหม่ๆ และการเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจภายในประเทศ จะเป็นปัจจัยสำคัญในการลดผลกระทบและสร้างความยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจไทยในระยะยาว