ในยุคที่สื่อสังคมออนไลน์เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน การเป็น Influencer กลายเป็นอาชีพที่ได้รับความนิยมและมีรายได้สูงมาก โดยเฉพาะกับกลุ่มคนที่สามารถสร้างฐานผู้ติดตามได้จำนวนมาก แต่ในขณะเดียวกันก็มีกรณีของ Influencer หลายรายที่ต้องเผชิญกับปัญหาภาษีย้อนหลัง เนื่องจากไม่เสียภาษีหรือทำผิดพลาดเกี่ยวกับการรายงานรายได้จากการทำงานในโลกออนไลน์ อาจจะเป็นเพราะความไม่รู้หรือความประมาทก็ได้
1. การเข้าใจข้อกำหนดภาษี
Influencer หลายคนมักจะเข้าใจว่าการทำงานในสื่อออนไลน์ไม่ต้องเสียภาษี หรือหากรายได้จากการโฆษณาหรือการโปรโมตสินค้าผ่านโซเชียลมีเดียไม่ได้มากจนเกินไป ก็ไม่ต้องรายงานต่อกรมสรรพากร นั่นคือข้อผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุด เพราะจริงๆ แล้ว การที่ได้รับเงินจากการทำงานในสื่อออนไลน์ก็ถือเป็นรายได้ที่ต้องเสียภาษีตามกฎหมาย ซึ่งผู้ที่มีรายได้จากกิจกรรมเหล่านี้จำเป็นต้องรายงานและเสียภาษีให้ถูกต้อง
2. การขาดความรู้เกี่ยวกับการเสียภาษี
บางครั้ง Influencer อาจไม่ได้รับการอบรมหรือคำแนะนำที่ชัดเจนเกี่ยวกับการจัดการภาษีจากงานที่ทำ ดังนั้นการที่ไม่เข้าใจวิธีการคำนวณรายได้และการเสียภาษี ก็อาจส่งผลให้เกิดปัญหาภาษีย้อนหลังตามมา โดยเฉพาะหากเป็นรายได้ที่ไม่ได้มาจากแหล่งที่มีการหักภาษี ณ ที่จ่าย (เช่น รายได้จากการรับโฆษณาหรือโปรโมตสินค้าที่มาจากแหล่งต่างประเทศ)
3. ผลกระทบจากการไม่เสียภาษี
ปัญหาภาษีย้อนหลังสำหรับ Influencer อาจไม่ใช่แค่การจ่ายเงินภาษีที่ค้างคา แต่ยังรวมถึงการโดนปรับ หรือแม้กระทั่งการถูกฟ้องร้องทางกฎหมาย เนื่องจากไม่รายงานหรือไม่เสียภาษีตามที่กฎหมายกำหนด อาจส่งผลเสียทั้งทางการเงินและชื่อเสียงได้
4. ความประมาทที่เกิดขึ้นในวงการ Influencer
การไม่ใส่ใจหรือความประมาทในการจัดการภาษีถือเป็นสิ่งที่ต้องระวัง หากไม่รู้จักขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญหรือไม่หาข้อมูลเกี่ยวกับการเสียภาษีให้ละเอียด อาจทำให้เกิดความผิดพลาดที่เสียหายตามมาในภายหลัง
5. ทางออกสำหรับ Influencer
วิธีการหลีกเลี่ยงปัญหาภาษีย้อนหลังนั้นสามารถทำได้ง่ายๆ โดยการเริ่มต้นจากการศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับข้อกำหนดภาษี และหากจำเป็น ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีหรือบัญชี เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีการละเลยในการเสียภาษี ควรมีการบันทึกรายได้และค่าใช้จ่ายอย่างโปร่งใส และทำการยื่นภาษีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
รายละเอียดเกี่ยวกับการเสียภาษีของอินฟลูเอนเซอร์
- อินฟลูเอนเซอร์ที่มีรายได้จากการรีวิวสินค้า, ค่าโฆษณา, การซื้อมาขายไป, หรือค่าจ้างจากการโชว์ตัว มีหน้าที่ต้องเสียภาษี.
- อินฟลูเอนเซอร์ที่ไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล จะต้อง ยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา.
- การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามี 2 วิธีหลักๆ:
- วิธีคำนวณภาษีจากเงินได้สุทธิ:
- สูตร: (รายได้ – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน) x อัตราภาษี = ภาษีที่ต้องจ่าย
- อัตราภาษีเป็นแบบขั้นบันได (ก้าวหน้า) เช่น เงินได้สุทธิ 0 – 150,000 บาท ได้รับการยกเว้น, 150,001 – 300,000 บาท อัตราภาษี 5%, ไปจนถึงอัตราสูงสุดตามที่กฎหมายกำหนด.
- วิธีคำนวณภาษีจากเงินได้พึงประเมิน:
- สูตร: รายได้ (ยกเว้นเงินเดือน) x 0.5% = ภาษีที่ต้องเสีย
- เงื่อนไข: หากคำนวณตามวิธีนี้แล้วมีภาษีชำระไม่เกิน 5,000 บาท จะได้รับการยกเว้นภาษีจากการคำนวณวิธีนี้ แต่ยังต้องเสียภาษีตามวิธีแรก.
- วิธีนี้ใช้สำหรับเงินได้ประเภทที่ 2 – 8 ตั้งแต่ 120,000 บาทขึ้นไป.
- วิธีคำนวณภาษีจากเงินได้สุทธิ:
- การคำนวณภาษีเมื่อมีรายได้หลายทาง: ต้องเปรียบเทียบจำนวนภาษีที่คำนวณได้จากทั้งสองวิธี และ เสียภาษีตามวิธีที่คำนวณได้มากกว่า.
การหักค่าใช้จ่าย
- เงินได้ประเภทที่ 1 และ 2 (เช่น เงินเดือน ค่าจ้าง) สามารถหักค่าใช้จ่ายในอัตราเหมาได้ 50% แต่รวมกันไม่เกิน 100,000 บาท.
- เงินได้ประเภทที่ 8 (เช่น ค่าจ้างจากการโชว์ตัว) หากเข้าลักษณะเป็นการแสดงของนักแสดง จะหักค่าใช้จ่ายในอัตราเหมาได้ดังนี้:
- เงินได้ส่วนที่ไม่เกิน 300,000 บาท หักได้ 60%
- เงินได้ส่วนที่เกิน 300,000 บาท หักได้ 40%
- โดยรวมกันต้องไม่เกิน 600,000 บาท.
- นักอินฟลูเอนเซอร์จึงต้อง แยกแยะประเภทของรายได้ เพื่อให้สามารถหักค่าใช้จ่ายได้อย่างถูกต้อง.
การทำความเข้าใจรายละเอียดเหล่านี้จะช่วยให้เห็นภาพรวมของการเป็นอินฟลูเอนเซอร์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ไม่ใช่เพียงแค่การสร้างรายได้ แต่ยังรวมถึงความรับผิดชอบในการจัดการภาษีตามกฎหมายด้วย. การวางแผนภาษีที่ดีจะช่วยให้อินฟลูเอนเซอร์สามารถบริหารจัดการรายได้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเติบโตในสายอาชีพนี้ได้อย่างยั่งยืน.
ตัวอย่างตารางการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของ Influencer จากแหล่งรายได้หลายช่องทาง

ขอบคุณภาพ : inflowaccount