รถไฟเชื่อม 3 สนามบิน 7 ปีผ่านไปทำไมยังไม่สร้าง ?

การลงนามสัญญาร่วมลงทุนระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และบริษัท เอเชีย เอราวัน จำกัด ซึ่งมีเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ถือหุ้นใหญ่ ถือเป็นการเริ่มต้นของโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ได้แก่ ดอนเมือง, สุวรรณภูมิ และอู่ตะเภา โดยบริษัท เอเชีย เอราวัน เมื่อวันที่ 24 ต.ค. 2562 หลังชนะการประมูลและขอรับเงินร่วมลงทุนจากรัฐต่ำสุด 117,226 ล้านบาท

คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบการเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19 ซึ่งทำให้จำนวนผู้โดยสารแอร์พอร์ตเรลลิงก์ลดลงอย่างมาก เมื่อ วันที่ 19 ต.ค. 2564 และทำให้บริษัท เอเชีย เอราวัน จำกัด เข้าบริหารแอร์พอร์ตเรลลิงก์วันที่ 25 ต.ค.2564 โดยจ่ายค่าสิทธิบริหารงวดแรก 1,067 ล้านบาท จากที่สัญญากำหนดให้จ่ายงวดเดียว 10,671 ล้านบาท ขณะเดียวกัน บริษัทได้เสนอแผนการพัฒนาแอร์พอร์ตเรลลิงก์ในมูลค่า 3,000 ล้านบาท เพื่อจัดหาขบวนรถไฟฟ้าเพิ่มเติม

หลังจากนั้น การเจรจาแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนเริ่มต้นขึ้น เนื่องจากผลกระทบจากโควิด-19 และการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ของโครงการ ซึ่งดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงแรกเอกชนได้เสนอการปรับปรุงค่าสิทธิบริหารแอร์พอร์ตเรลลิงก์ และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ก็ได้เสนอให้เอกชนก่อสร้างช่วงบางซื่อ-ดอนเมือง เพื่อลดปัญหาพื้นที่ทับซ้อนกับโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน

หลังจากการเจรจาร่วมทุนเป็นเวลานานเกือบ 3 ปี คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ภายใต้การนำของนายพิชัย ชุนหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้มีการเห็นชอบในข้อเสนอการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนใน 5 ประเด็นสำคัญดังนี้:

  1. วิธีการชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุน: การปรับแผนการชำระเงินของรัฐจากเดิมที่รัฐจะแบ่งจ่าย 149,650 ล้านบาทหลังจากเอกชนเปิดเดินรถไฟความเร็วสูง เป็นการจ่ายเงินสนับสนุนเป็นงวดตามความก้าวหน้าของงาน โดยวงเงินสนับสนุนไม่เกิน 120,000 ล้านบาท และเอกชนต้องวางหลักประกันเพิ่มเติมรวม 160,000 ล้านบาท
  2. การกำหนดการชำระค่าสิทธิร่วมลงทุน: ค่าสิทธิบริหารแอร์พอร์ตเรลลิงก์ในจำนวน 10,671 ล้านบาท จะถูกแบ่งชำระเป็น 7 งวด โดยเอกชนต้องวางหนังสือค้ำประกันจากธนาคารมูลค่าเท่ากับค่าสิทธิ
  3. ส่วนแบ่งผลประโยชน์ตอบแทน: การเพิ่มเงื่อนไขหากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้โครงการลดลงอย่างมีนัยสำคัญ รฟท.มีสิทธิเรียกส่วนแบ่งผลประโยชน์เพิ่มเติม
  4. การยกเว้นเงื่อนไขการออกหนังสือแจ้งให้เริ่มงาน (NTP): อนุญาตให้คู่สัญญาจัดทำบันทึกข้อตกลงยกเว้นเงื่อนไข NTP
  5. การป้องกันปัญหาในอนาคตจากเหตุสุดวิสัย: การปรับปรุงข้อสัญญาในส่วนเหตุสุดวิสัยและเหตุผ่อนผันให้สอดคล้องกับโครงการร่วมลงทุนอื่น

บีโอไอไฟเขียวส่งเสริมลงทุน 2 แสนล้าน ดันรถยนต์ไฟฟ้า-รถไฟเร็วสูง 3 สนามบิน วันที่ 13 มิ.ย. 2565 คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ได้อนุมัติการส่งเสริมการลงทุนมูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท ซึ่งรวมถึงโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน และโครงการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ของฮอริษอน พลัส โดยมุ่งเพิ่มสิทธิประโยชน์จูงใจการลงทุนในกิจการผลิตแบตเตอรี่อีวีและการสร้างนิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะ

โครงการนี้ถือเป็นหนึ่งในโครงการสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจภาคตะวันออกและการเชื่อมโยงการเดินทางที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจและการขนส่งของประเทศในอนาคต.

ปัญหาด้านการขอรับสิทธิประโยชน์จาก BOI โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินของบริษัท เอเชีย เอราวัน จำกัด พบปัญหาด้านบัตรส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่ไม่อนุมัติการขยายเวลาขอรับสิทธิประโยชน์ตามคำร้องที่ยื่นไปถึงสองครั้ง โดยครั้งที่สองจะสิ้นสุดในวันที่ 22 มกราคม 2567 และการขอครั้งที่สาม ซึ่งขยายไปถึง 22 พฤษภาคม 2567 ถูกปฏิเสธในที่สุด การปฏิเสธนี้ส่งผลกระทบให้การก่อสร้างโครงการไม่สามารถเริ่มต้นได้ตามแผน เนื่องจากการออกหนังสือแจ้งให้เริ่มงาน (NTP) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ต้องรอการขอรับสิทธิประโยชน์จาก BOI ก่อน

การหารือระหว่าง รฟท. และสำนักงานอัยการสูงสุด วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2567 นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับสถานการณ์ดังกล่าว โดยกล่าวว่า รฟท. ได้หารือกับสำนักงานอัยการสูงสุดเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการยกเว้นเงื่อนไข NTP เพื่อให้โครงการสามารถเดินหน้าต่อไปได้ แม้ว่าจะยังไม่มีการอนุมัติสิทธิประโยชน์จาก BOI โดยอัยการสูงสุดได้ตอบกลับมาว่าคณะกรรมการกำกับดูแลโครงการจะต้องเป็นผู้พิจารณาในเรื่องนี้

การแก้ไขสัญญาร่วมลงทุน ในวันที่ 11 ตุลาคม 2567 การประชุมคณะกรรมการพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ได้เห็นชอบหลักการการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูง โดยมีการปรับปรุงสัญญาหลัก 5 ประเด็นเพื่อให้โครงการสามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างราบรื่น โดยมีการพิจารณาวิธีการชำระเงินร่วมลงทุนและเงื่อนไขต่างๆ เพื่อให้รัฐไม่เสียประโยชน์

1) วิธีชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุน (Public Investment Cost : PIC) จากเดิม เมื่อเอกชนเปิดเดินรถไฟความเร็วสูงฯ รัฐจะแบ่งจ่ายเป็นจำนวน 149,650 ล้านบาท เป็น จ่ายเป็นงวดตามความก้าวหน้าของงานที่ รฟท. ตรวจรับ วงเงินไม่เกิน 120,000 ล้านบาท โดยเอกชนต้องวางหลักประกันเพิ่มเติมจากสัญญาเดิม รวมเป็นจำนวน 160,000 ล้านบาท พื่อรับประกันว่าจะก่อสร้างและเปิดให้บริการรถไฟความเร็วสูงฯ ได้ภายใน 5 ปี ทั้งนี้ กรรมสิทธิ์สิ่งปลูกสร้างจะทยอยตกเป็นของภาครัฐ (รฟท.) ทันทีตามงวดของการจ่ายเงิน

2) กำหนดการชำระค่าสิทธิให้ร่วมลงทุนในโครงการแอร์พอร์ตเรลลิงก์ (ARL) โดยให้เอกชนแบ่งชำระค่าสิทธิจำนวน 10,671.09 ล้านบาท เป็น 7 งวด เป็นรายปี จำนวนเท่า ๆ กัน โดยต้องชำระงวดแรก ณ วันที่ลงนามแก้ไขสัญญา ในการนี้ เอกชนจะต้องวางหนังสือค้ำประกันที่ออกโดยธนาคาร ในมูลค่าเท่ากับ ค่าสิทธิ ARL รวมถึงค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเงินอื่นที่ รฟท. ต้องรับภาระ

3) กำหนดส่วนแบ่งผลประโยชน์ตอบแทน (Revenue Sharing) เพิ่มเติม หากในอนาคตอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของโครงการฯ ลดลงอย่างมีนัยสําคัญ และเป็นผลให้เอกชนได้ผลประโยชน์ตอบแทน (IRR) เพิ่มขึ้นเกิน 5.52% รฟท.มีสิทธิเรียกให้เอกชนชําระส่วนแบ่งผลประโยชน์เพิ่มได้ ตามจำนวนที่จะตกลงกันต่อไป

4) การยกเว้นเงื่อนไขการออกหนังสือแจ้งให้เริ่มงาน (Notice to Proceed : NTP) โดยให้คู่สัญญาจัดทำบันทึกข้อตกลงยกเว้นเงื่อนไข NTP ที่ยังไม่สำเร็จ เพื่อให้ รฟท. สามารถออก NTP ได้ทันทีเมื่อลงนามสัญญาที่แก้ไขตามหลักการทั้งหมดนี้

5) การป้องกันปัญหาในอนาคตที่อาจเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อสถานะทางการเงินของโครงการฯ โดยปรับปรุงข้อสัญญาในส่วนของเหตุสุดวิสัยและเหตุผ่อนผัน ให้สอดคล้องกับสัญญาร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชนในโครงการอื่น

การเสนอร่างสัญญาร่วมลงทุนใหม่ หลังจากที่การประชุม กพอ. เห็นชอบการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุน รฟท. ได้ดำเนินการจัดทำรายละเอียดร่างสัญญาและนำเสนอต่อประชุม กพอ. อีกครั้งในวันที่ 8 มกราคม 2568 โดยการประชุมได้อนุมัติการแก้ไขสัญญาและมอบหมายให้รฟท. ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป โดยร่างสัญญาจะต้องผ่านการตรวจสอบจากสำนักงานอัยการสูงสุดก่อนที่จะนำเสนอเข้าสู่ ครม. เพื่อขออนุมัติ

การพิจารณาร่างสัญญาฉบับใหม่ ในวันที่ 13 มีนาคม 2568 รฟท. จะนำร่างสัญญาร่วมทุนใหม่เข้าที่ประชุมบอร์ด รฟท. เพื่อพิจารณาอนุมัติ หลังจากก่อนหน้านี้ มีการพิจารณากลั่นกรองจาก คณะทำงานฯที่ผู้ว่าฯรฟท.ตั้งขึ้น แล้ว และเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 3568 คณะอนุกรรมการด้านกฎหมายของรฟท.ได้ประชุมเรียบร้อยแล้ว โดยหากผ่านการพิจารณาจากบอร์ด รฟท. จะส่งเรื่องไปยังสำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อทำการตรวจสอบตามขั้นตอน จากนั้นคาดว่าจะนำเสนอเข้าสู่ ครม. ภายในเดือนพฤษภาคม 2568 เพื่อให้โครงการสามารถเริ่มต้นการก่อสร้างได้ในเดือนมิถุนายน 2568