ทรูควบรวมดีแทค ครบรอบ 2 ปี ความกังวลของผู้บริโภคและการคุ้มครองจาก กสทช.

ครบรอบ 2 ปีของการควบรวมกิจการระหว่าง ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ ดีแทค ซึ่งส่งผลให้เกิดคำถามเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภคและความโปร่งใสในการกำกับดูแลจาก สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) โดยเฉพาะในกรณีที่มีปัญหาภายในองค์กรและคดีความที่เกี่ยวข้องกับกรรมการของ กสทช.

ผลกระทบต่อผู้บริโภคและความกังวลเรื่องค่าบริการ

การควบรวมกิจการของทรูและดีแทคเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมของไทย ผลการศึกษาจาก 101 พับลิค โปลิซี ธิงค์แท้ง ได้ชี้ให้เห็นถึงผลกระทบที่ผู้บริโภคต้องแบกรับจากการควบรวมในครั้งนี้ โดยเฉพาะเรื่องค่าบริการที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แพ็กเกจราคาถูกเริ่มหายไปและคุณภาพการบริการก็ถูกตั้งคำถาม สิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบหนักที่สุดกับผู้บริโภคที่มีรายได้ต่ำที่ต้องเผชิญกับค่าบริการที่สูงขึ้น

บทบาทของ กสทช. และปัญหาภายในองค์กร

ในด้านการกำกับดูแลนั้น กสทช. ถูกวิจารณ์อย่างหนักเกี่ยวกับการขาดมาตรการที่ชัดเจนในการคุ้มครองผู้บริโภค โดยเฉพาะในเรื่องของการเยียวยาผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบจากการควบรวมกิจการ โดยยังไม่มีการทบทวนหรือแก้ไขเงื่อนไขใด ๆ ที่จะช่วยบรรเทาความเสียหายที่เกิดขึ้น น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ อดีตกรรมการ กสทช. ระบุว่า ปัญหาผลกระทบจากการควบรวมกิจการเป็นการซ้ำเติมปัญหาที่มีอยู่เดิม นอกจากนี้ยังมีความกังวลเกี่ยวกับบทบาทของ ศาสตราจารย์กิตติคุณ พิรงรอง กรรมการ กสทช. ด้านกิจการโทรทัศน์ ที่ถูกศาลตัดสินจำคุก 2 ปี ซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจในคณะกรรมการ กสทช.

สภาองค์กรผู้บริโภคตั้งข้อกังวล 5 ประเด็นหลัก ได้แก่ ค่าบริการ, การแข่งขัน, คุณภาพบริการ, คลื่นความถี่และโครงสร้างพื้นฐาน, และนวัตกรรมและความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล

  1. ประเด็นค่าบริการ
    • ลดอัตราค่าบริการเฉลี่ยลง 12% จากอัตราค่าบริการขั้นสูงตามกฎหมาย โดยสำนักงาน กสทช. ต้องคำนวณอัตราค่าบริการขั้นสูงใหม่ด้วยการถ่วงน้ำหนักตามจำนวนผู้ใช้บริการในแต่ละแพ็กเกจ
    • ใช้ต้นทุนเฉลี่ยมากำหนดอัตราค่าบริการส่วนเกินโปรโมชัน เพื่อไม่ให้ผู้บริโภคจ่ายค่าบริการส่วนเกินโปรโมชันที่แพงเกินสมควร
    • ข้อสังเกต: เอกชนอาจแก้ทางด้วยการเลิกโปรโมชันขนาดเล็ก เพื่อบังคับให้ผู้บริโภคซื้อโปรโมชันขนาดใหญ่ตั้งแต่ต้น หรือขึ้นราคาโปรโมชันมาชดเชยส่วนที่ลดลงนอกโปรโมชัน
  2. ประเด็นการแข่งขัน
    • ปรับกติกาเพื่อเอื้อให้ MVNO (ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบโครงข่ายเสมือน) อยู่รอดได้มากขึ้น โดยกำหนดว่าราคาขายส่งต้องต่ำกว่าราคาขายปลีกไม่น้อยกว่า 30% และห้ามบังคับซื้อในปริมาณที่ MVNO ไม่สามารถนำไปขายต่อได้หมด
    • ข้อสังเกต: ขาดการเพิ่มผู้ให้บริการรายใหม่ที่มีโครงข่ายเป็นของตนเอง (MNO) เข้าสู่ตลาดโดยการสั่งให้ขายกิจการ หรือทรัพย์สิน เช่น คลื่นความถี่ ให้แก่ผู้ให้บริการรายใหม่ MVNO เองก็ไม่ได้เป็นทางเลือกที่แท้จริงของผู้บริโภคไทย
  3. ประเด็นคุณภาพบริการ
    • ห้ามลดจำนวนสถานีฐานลงจากเดิม และต้องรักษาจำนวนพนักงาน จำนวนคู่สายการให้บริการ ตลอดจนพื้นที่ศูนย์บริการให้พอที่จะรักษาคุณภาพการให้บริการไม่ต่ำกว่าเดิม
    • ข้อสังเกต: อาจทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถลดต้นทุนหลังการควบรวมได้ตามที่คาดหวังไว้
  4. ประเด็นคลื่นความถี่และโครงสร้างพื้นฐาน
    • สิทธิในคลื่นความถี่เป็นสิทธิเฉพาะตัว จะให้ผู้อื่นประกอบกิจการแทนไม่ได้ และจะโอนคลื่นความถี่ไม่ได้จนกว่าจะได้รับความเห็นชอบจาก กสทช. การใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกันต้องเปิดกว้างให้กับทุกบริษัท
    • ข้อสังเกต: ภายหลังควบรวมจะเกิดบริษัทใหม่ที่มีอำนาจเหนือคลื่นที่บริษัทลูกถือครองทำให้มีปริมาณคลื่นเกินกว่าเกณฑ์การประมูลคลื่นความถี่
  5. ประเด็นนวัตกรรมและความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล
    • กำหนดให้ขยายโครงข่าย 5G ให้ครอบคลุมภายใน 3-5 ปี และต้องมีโปรโมชันสำหรับผู้ด้อยโอกาส รวมถึงต้องมีแผนพัฒนานวัตกรรมใน 60 วัน
    • ข้อสังเกต: เอกชนมีแผนที่จะขยายโครงข่าย 5G เองอยู่แล้ว

ด้านอิฐบูรณ์ อ้นวงษา รองเลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค ตั้งข้อสังเกตถึงการ “ตั้งธง” ของ กสทช. ที่จะไม่ใช้อำนาจในการอนุญาตหรือไม่อนุญาตการควบรวม แต่พิจารณาเพียงเงื่อนไขและมาตรการกำกับดูแล เขายังกล่าวว่า กสทช. ไม่ได้นำข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบของผู้บริโภคมาพิจารณา

ผลประโยชน์ของผู้บริโภค

อิฐบูรณ์ชี้ให้เห็นว่า แม้การควบรวมกิจการจะส่งผลดีต่อภาคธุรกิจ เช่น การดึงดูดการลงทุน การเพิ่มขึ้นของการซื้อขาย และการปรับเครดิตเรตติ้งให้ดีขึ้น แต่ผู้บริโภคกลับไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆ จากดีลนี้