ธปท. ย้ำการรักษา Policy Space เป็นสิ่งสำคัญ ภายใต้ ศก.ที่มีความไม่แน่นอนสูง

นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงาน Monetary Policy Forum 4/67 ว่า ภาพของเศรษฐกิจไทย เมื่อมองไปข้างหน้ายังฟื้นตัวได้ตามศักยภาพในระดับปานกลาง แต่การฟื้นตัวอาจแตกต่างและไม่เท่าเทียมกันในบางจุด รวมถึงความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้าที่คาดว่าจะสูงขึ้น โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปีนี้

ดังนั้น การดำเนินนโยบายการเงินจะต้องมีความยืดหยุ่น และสามารถรองรับสถานการณ์ที่มีความหลากหลาย รวมถึงต้องให้ความสำคัญในการรักษากันชน (Buffer) ในด้านต่าง ๆ ไว้ และผสมผสานเครื่องมือในเชิงนโยบายให้เหมาะสมกับพัฒนาการที่เกิดขึ้นในแต่ละด้าน

นายสักกะภพ กล่าวว่า หากดูการคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3/67 ที่ผ่านมา ขยายตัวได้ 3% จากไตรมาสที่ 2 ที่ 2.7% เหมือนที่ธปท. มองไว้ว่า ไตรมาส 2 จะฟื้นตัวที่ 2% , ไตรมาส 3 จะฟื้นตัวที่ 3% และไตรมาส 4 ที่ 4% ซึ่งโดยภาพรวมการเติบโตจะเห็นเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 ขยายตัวได้เกิน 3% ซึ่งเป็นไปตามมุมมองเดิม

สำหรับปัจจัยขับเคลื่อนหลัก มาจากการใช้จ่ายภาครัฐ และการส่งออกที่ดีขึ้น แม้ว่าการบริโภคจะชะลอลง เนื่องจากได้เร่งตัวไปก่อนหน้านี้ และภาคบริการยังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ อย่างไรก็ดี ในแง่ภาคการผลิต จะเห็นว่าได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก ทำให้อาจเห็นการฟื้นตัวได้ไม่ค่อยชัดเจน ส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยในแง่การแข่งขันจากภายนอกที่สูงขึ้น รวมถึงปัจจัยเรื่องของปัญหาโครงสร้างต่าง ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มยานยนต์ และชิ้นส่วน ที่ทิศทางแย่ลงในช่วงที่ผ่านมา

  • นโยบายการเงินต้องยืดหยุ่น พร้อมรองรับทุกสถานการณ์

นายสักกะภพ กล่าวว่า ดังนั้น จุดใหญ่ที่ ธปท.จะพิจารณาปรับลดดอกเบี้ยบโยบาย หรือปรับนโยบายการเงินนั้น จะอยู่บนปัจจัย 3 ด้าน คือ 1.การเติบโตเศรษฐกิจ ซึ่งปัจจุบันยังมีทิศทางฟื้นตัว และสอดคล้องกับระดับศักยภาพ 2.อัตราเงินเฟ้อไม่ได้หลุดลอยจากกรอบเป้าหมาย 1-3% โดยคาดการณ์เงินเฟ้อทั่วไปปี 68 อยู่ที่ 1.1% อยู่ในกรอบเป้าหมายทรงตัวอยู่ในขอบล่าง และ 3.เสถียรภาพระบบการเงิน จะเห็นการลดสัดส่วนหนี้ Debt Deleveraging เกิดขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยให้ความเสี่ยงด้านเสถียรภาพระบบการเงินในระยะยาวปรับลดลง แต่ก็ยังมีความเสี่ยงระยะยาวจากสินเชื่อชะลอลง ทำให้นโยบายการเงินค่อนข้างเปิดมากขึ้น

“หากภาพรวมเศรษฐกิจ และอัตราเงินเฟ้อ มีการเปลี่ยนไปกว่าที่คาดการณ์อย่างมีนัย นโยบายการเงินก็พร้อมจะปรับเปลี่ยน ภายใต้เศรษฐกิจที่ฟื้นตัวลักษณะ K Shape อุตสาหกรรมรถยนต์-ชิ้นส่วนยานยนต์แย่ลง แต่มีบางส่วนยังไปได้ ภาคบริการก็ยังสามารถหล่อเลี้ยงไปได้ อย่างไรก็ดี การทำสมมุติฐาน (Scenario) ของการปรับลดดอกเบี้ย จะมีปัจจัยอะไรบ้างนั้น ธปท.คงทำมากขึ้น แต่อาจจะต้องรอ “โดนัลด์ ทรัมป์” ที่จะเข้ามาเริ่มงานเดือนก.พ. เพราะตอนนี้นโยบายยังไม่ชัดเจน การบังคับใช้นโยบาย ก็ไม่มีความชัดเจน หรือการตอบโต้ก็ไม่ชัดเจน หากเราเริ่มเห็นความชัดเจนการทำ Scenario สามารถทำได้ อย่างไรก็ดี เฟรมใหญ่ยังคงอยู่ที่กรอบเงินเฟ้อเป้าหมาย และประสิทธิผลการทำนโยบายการเงินที่เราต้องทำอยู่แล้ว” นายสักกะภพ กล่าว

สำหรับทิศทางค่าเงินบาทในปี 2568 ยอมรับว่า มีความผันผวนมากขึ้น เนื่องจากนโยบายการเงินประเทศหลัก คาดเดาได้ค่อนข้างยาก โดยเงินบาทจะมีความผันผวนสูงขึ้น โดยปัจจัยยังมาจากภายนอกเป็นหลัก

  • ดอกเบี้ย 2.25% สอดคล้องศักยภาพเศรษฐกิจไทย

นายสุรัช แทนบุญ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายการเงิน ธปท. ระบุว่า ธปท. คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 68 อยู่ที่ 1.1% และหากดูเงินเฟ้อระยะปานกลางเฉลี่ย 5 ปีข้างหน้า หรือในปีที่ 6-10 จากข้อมูลตลาดการเงิน พบว่าค่าเฉลี่ยอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 1.7-1.8% ยังคงยึดเหนี่ยวอยู่ในกรอบ

ส่วนที่ว่าต้องเห็นอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์อยู่ในระดับใด ธปท.จึงจะปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินนั้น มองว่า จากข้อมูลตลาดการเงินหากอัตราเงินเฟ้อแกว่งตัว +/- แบบ Sideway ก็ไม่น่ากังวล แต่หากการแกว่งไปในทิศทางเดียว อาจจะกังวล เนื่องจาก ธปท.จะดู Dynamic ของอัตราเงินเฟ้อ หากเกิด Price Shock ในสินค้าใดสินค้าหนึ่ง และมีการกระจายไปยัง Supply chain ด้วย จะเป็นสิ่งที่ ธปท.พิจารณา นอกจากเงินเฟ้อระยะปานกลาง

ขณะที่ภาวะการเงินโดยรวม ที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางมี 3 เรื่อง คือ 1.ความต้องการ (Demand) ลดลง ภาคการท่องเที่ยว โรงแรม ขนส่งผู้โดยสาร ใช้สินเชื่อน้อยลง เพราะรายได้ดีขึ้น 2.ความเสี่ยงด้านเครดิตสูงขึ้น ซึ่งเกิดจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในลักษณะ K Shape ทำให้ธนาคารพาณิชย์ระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อ และ 3.การชำระหนี้คืน หลังจากปล่อยไปในช่วงโควิด-19

ดังนั้น จุดยืนของนโยบายการเงินที่ระดับ 2.25% ถือเป็นจุดยืนที่เป็นกลาง สอดคล้องกับศักยภาพเศรษฐกิจที่ขยายตัวในปลายปีนี้ และต้นปีหน้า และจุดยืนยังสอดคล้องกับระบบการเงิน สัดส่วนหนี้ครัวเรือนที่ทยอยลดลงแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่ในบริบทที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนนโยบายการเงินจะต้องพร้อมรองรับเหตุการณ์ต่าง ๆ หรือนโยบายแบบ Robust Policy และสอดคล้องกับเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะสั้นและระยะยาว

“หากเราปรับลดดอกเบี้ยวันนี้ เราจะสูญเสียการรักษาขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน หรือ Policy Space และผลประโยชน์ (Benefit) จะจำกัด เพราะการปรับลดดอกเบี้ย จะส่งผลต่อเศรษฐกิจจำกัด ในภาวะเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูง เพราะธุรกิจมีความลังเลในการจ้างงานและลงทุน เพราะมี Fixed Cost ดังนั้น ประสิทธิผลของนโยบายจะลดลง” นายสุรัช ระบุ

EF389176301F5571DF09DF32E5F94FAF

ข้อมูล/ภาพ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์