ทรัมป์สั่งห้ามคนจาก 12 ประเทศเข้าสหรัฐ เริ่มจันทร์นี้

โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศฟื้นนโยบาย Travel Ban ห้ามพลเมืองจาก 12 ประเทศ เดินทางเข้าสหรัฐอเมริกา โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เวลา 00.01 น. ของวันจันทร์ที่จะถึงนี้ (9 มิถุนายน) โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงแห่งชาติ คำสั่งนี้ลงนามเมื่อค่ำวันพุธที่ 4 มิถุนายนที่ผ่านมา และเป็นการเดินตามรอยนโยบายเดิมในสมัยแรกของทรัมป์ที่เคยถูกวิจารณ์อย่างกว้างขวาง ทั้งนี้ยังมีการจำกัดการเดินทางเพิ่มเติมสำหรับพลเมืองจากอีก 7 ประเทศ ท่ามกลางเสียงวิจารณ์เกี่ยวกับเจตนาทางการเมืองและผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชนในระดับสากล

โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ลงนามในประกาศห้ามไม่ให้ผู้คนจาก 12 ประเทศ เดินทางเข้าสหรัฐ โดยคำสั่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ เวลา 00.01 น. ของวันจันทร์ที่จะถึงนี้ (9 มิถุนายน) ซึ่งถือเป็นการรื้อฟื้นนโยบายการห้ามการเดินทางที่เคยถูกวิจารณ์ในสมัยดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งแรกของเขา

ประเทศที่ถูกห้ามเดินทางเข้าสหรัฐ ได้แก่ อัฟกานิสถาน, เมียนมา, ชาด, สาธารณรัฐคองโก, อิเควทอเรียลกินี, เอริเทรีย, เฮติ, อิหร่าน, ลิเบีย, โซมาเลีย, ซูดาน และเยเมน ซึ่งล้วนแต่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่ทรัมป์ระบุว่ามี “ทัศนคติที่ไม่เป็นมิตร” ต่อสหรัฐอเมริกา

คำสั่งนี้มีรากฐานมาจากคำสั่งฝ่ายบริหารที่ทรัมป์ได้ออกเมื่อวันที่ 20 มกราคมที่ผ่านมา โดยกำหนดให้ กระทรวงการต่างประเทศ, กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ และผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองแห่งชาติ ทำรายงานเกี่ยวกับภัยคุกคามที่อาจเกิดจากการเปิดประเทศรับผู้เดินทางจากบางภูมิภาค

นอกจากนี้ ยังมีการออกมาตรการ จำกัดการเดินทางเข้มข้นยิ่งขึ้น สำหรับพลเมืองจากอีก 7 ประเทศ ได้แก่ บุรุนดี, คิวบา, ลาว, เซียร์ราลีโอน, โตโก, เติร์กเมนิสถาน และเวเนซุเอลา โดยแม้จะไม่ถึงขั้นห้ามเด็ดขาด แต่ก็มีการจำกัดวีซ่าและเพิ่มขั้นตอนการตรวจสอบอย่างเข้มงวด

ทรัมป์ ให้เหตุผลในการออกคำสั่งนี้ว่า “ผมต้องดำเนินการเพื่อปกป้องความมั่นคงของชาติและผลประโยชน์ของสหรัฐฯ” ซึ่งเป็นเหตุผลเดียวกับที่เขาเคยใช้ในการออกคำสั่งห้ามการเดินทางในเดือนมกราคมปี 2017 ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อ “Muslim Ban” เนื่องจากมีเป้าหมายหลักที่ประเทศซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม เช่น อิรัก, ซีเรีย, อิหร่าน, ซูดาน, ลิเบีย, โซมาเลีย และเยเมน

คำสั่งห้ามดังกล่าวในอดีตนำไปสู่ความวุ่นวายตามสนามบินหลายแห่งในสหรัฐฯ ผู้เดินทางหลายคนถูกกักตัวหรือส่งกลับ ทั้งที่มีวีซ่าถูกต้องตามกฎหมาย ส่งผลกระทบต่อทั้งนักเรียน นักธุรกิจ และครอบครัวที่ตั้งใจเดินทางมาเยี่ยมเยียน

แม้ว่าภายหลังจะมีการปรับแก้คำสั่งให้สอดคล้องกับคำตัดสินของศาล แต่แนวคิดการจำกัดการเดินทางจากประเทศที่ถูกมองว่า “เสี่ยงต่อความมั่นคง” ยังคงเป็นแนวทางหลักของทรัมป์ ซึ่งเขาย้ำว่าการตัดสินใจนี้ “ไม่ได้เกิดจากอคติทางศาสนา” แต่เน้นป้องกันภัยคุกคามต่ออเมริกันชน

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ด้านสิทธิมนุษยชนและนักการทูตหลายฝ่ายมองว่า คำสั่งดังกล่าวอาจกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และขัดต่อหลักการสิทธิมนุษยชนสากล โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาว่า หลายประเทศในรายชื่อเป็นประเทศที่ประสบกับวิกฤตทางการเมืองและเศรษฐกิจ อยู่แล้ว

ท่ามกลางสถานการณ์การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในช่วงปลายปีนี้ นักวิเคราะห์ชี้ว่า นโยบายลักษณะนี้อาจสะท้อนถึงยุทธศาสตร์ของทรัมป์ในการดึงฐานเสียงอนุรักษนิยมกลับคืน โดยใช้นโยบายด้านความมั่นคงเป็นจุดขายหลัก

ข้อมูล : bangkokbiznews