ไทยเตรียมเปิดขาย G-Token โทเคนการเงินจากรัฐ หน่วยละ 1 บาท

รัฐบาลไทยเตรียมออก “G-Token” โทเคนการเงินภาครัฐเป็นประเทศแรกของโลก หวังเข้าถึงคนรุ่นใหม่ เพิ่มการออม และขยายโอกาสทางการเงินอย่างเท่าเทียม โดยจะเปิดให้ซื้อขั้นต่ำเพียงหน่วยละ 1 บาทภายในปีงบประมาณ 2568 ผ่านศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล โดยยืนยันว่าไม่กระทบหนี้สาธารณะและเป็นไปตามกฎหมายทุกประการ

เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการออกโทเคนดิจิทัล หรือ “G-Token” ซึ่งถือเป็นการเปิดทางให้ กระทรวงการคลัง สามารถออกและเสนอขาย โทเคนดิจิทัลของรัฐบาล ได้เป็นประเทศแรกของโลก โดยจะเริ่มออกจำหน่ายอย่างเร็วที่สุดในเดือนกรกฎาคมนี้ หรือไม่เกินกันยายน 2568 ในวงเงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาท ผ่าน บริษัทหลักทรัพย์ และ ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับใบอนุญาตจาก ก.ล.ต. สำหรับประชาชนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา

แนวคิดนี้เริ่มต้นจากข้อเสนอของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเคยเสนอการออกสเตเบิลคอยน์ที่มีพันธบัตรรัฐบาลค้ำประกัน ก่อนที่ พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะประกาศแผนเดินหน้าโครงการ “Bond Tokenization” และล่าสุดได้รับการสนับสนุนจาก พชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ในฐานะผู้ดำเนินการหลัก

G-Token คืออะไร?

G-Token หรือ Government Token ไม่ใช่เงินตรา และไม่ใช่คริปโตเคอร์เรนซีในความหมายทั่วไป แต่เป็น เครื่องมือระดมทุนของรัฐ ที่ออกโดยกระทรวงการคลัง มีลักษณะใกล้เคียงกับ พันธบัตรออมทรัพย์ ซึ่งเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงการลงทุนในรูปแบบโทเคนดิจิทัล โดยสามารถซื้อได้ด้วยเงินเริ่มต้นเพียง 1 บาทต่อหน่วย และซื้อขายได้บนตลาดรองผ่านระบบดิจิทัลที่โปร่งใส ปลอดภัย และตรวจสอบได้

ไม่กระทบหนี้สาธารณะ และไม่เกี่ยวกับดิจิทัลวอลเล็ต

พชรยืนยันว่า การออก G-Token รอบแรก เป็นส่วนหนึ่งของกรอบแผนการกู้เงินชดเชยการขาดดุลงบประมาณประจำปี 2568 และอยู่ภายใต้กรอบวงเงิน 1 แสนล้านบาท ที่ สบน. วางไว้สำหรับการออกพันธบัตรออมทรัพย์ประจำปี จึง ไม่ส่งผลต่อระดับหนี้สาธารณะ แต่อย่างใด และ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต

ทั้งนี้ G-Token ออกภายใต้ข้อกฎหมายที่รองรับอย่างครบถ้วน ทั้งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2567 ซึ่งผ่านการหารือร่วมกับ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แล้ว โดยธปท. ยืนยันว่าไม่อยู่ในขอบเขตความรับผิดชอบโดยตรง

จุดแข็งของ G-Token เมื่อเทียบกับพันธบัตรแบบเดิม

G-Token ได้รับการออกแบบเพื่อลดข้อจำกัดของการลงทุนในพันธบัตรออมทรัพย์แบบเดิม ไม่ว่าจะเป็นในด้าน สภาพคล่อง, ต้นทุนดำเนินการ, การเข้าถึงของประชาชน, ความโปร่งใสของระบบ, และ การส่งเสริมตลาดทุนดิจิทัล โดยเฉพาะในประเด็นต่อไปนี้:

เพิ่มสภาพคล่องในตลาดรอง:
G-Token สามารถซื้อขายได้ในตลาดรองผ่านระบบดิจิทัล โดยมีระยะเวลาดำเนินการ T+1 (ซื้อวันนี้ รับโอนวันทำการถัดไป) เทียบกับพันธบัตรปกติที่ต้องใช้เวลาดำเนินการ 7 วัน

ลดต้นทุนการดำเนินงาน:
ต้นทุนการออก G-Token คาดว่าจะต่ำกว่าการออกพันธบัตรออมทรัพย์เดิม ซึ่งมีต้นทุนราว 0.03% ของวงเงินจำหน่าย

ขยายฐานนักลงทุนรุ่นใหม่:
ด้วยราคาจำหน่ายเริ่มต้นเพียง 1 บาทต่อหน่วย ทำให้ G-Token เข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้ง่ายขึ้น ตอบโจทย์ การเข้าถึงทางการเงิน (Financial Inclusion)

เพิ่มความโปร่งใสและตรวจสอบได้:
การออก G-Token ภายใต้กฎหมายสินทรัพย์ดิจิทัล ช่วยให้ผู้กำกับดูแลสามารถติดตามและป้องกันความผิดปกติได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล:
G-Token เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายรัฐบาลที่ต้องการขับเคลื่อนประเทศสู่ ศูนย์กลางทางการเงินดิจิทัลระดับภูมิภาค

ผลตอบแทนของ G-Token เป็นอย่างไร?

พชรระบุว่า G-Token จะให้ผลตอบแทนในระดับเดียวกับ พันธบัตรออมทรัพย์รัฐบาล หรืออาจมากกว่า โดยยกตัวอย่างจากการเปิดขายพันธบัตรออมทรัพย์รอบล่าสุดของ สบน. วงเงิน 25,000 ล้านบาท อายุ 7 ปี ให้ดอกเบี้ย 2.65% ต่อปี (จ่ายทุก 3 เดือน) ซึ่งถือว่าสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ในปัจจุบัน

แม้ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดที่แน่ชัดเกี่ยวกับเงื่อนไขของ G-Token แต่ สบน. ระบุว่าอยู่ระหว่างจัดทำหนังสือชี้ชวนร่วมกับสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อให้ประชาชนสามารถพิจารณาและตัดสินใจลงทุนได้อย่างเหมาะสม

G-Token จะออกในอนาคตต่อเนื่องหรือไม่?

พชรกล่าวว่า สบน. มีแผนที่จะออก G-Token ควบคู่กับการออกพันธบัตรออมทรัพย์ในอนาคต เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนที่มีความหลากหลาย โดยมองว่า G-Token จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของการลงทุนที่ตอบโจทย์ยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง

ข้อมูล :thestandard