บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผู้นำตลาดร้านอาหารสุกี้ในไทยที่ครองส่วนแบ่งสูงถึง 60% จากตลาดมูลค่ากว่า 25,000 ล้านบาท เดินหน้าปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่ในปี 2568 ด้วยการพลิกโมเดลร้าน MK Restaurants ไปสู่รูปแบบ “บุฟเฟต์เต็มรูปแบบ” รองรับการแข่งขันที่ทวีความรุนแรง และแนวโน้มธุรกิจอาหารที่คาดว่าจะเติบโตได้ไม่มากนักในปีหน้า พร้อมขยายแบรนด์ในเครือทั้งในและต่างประเทศ เสริมทัพด้วยแบรนด์ใหม่ สร้างความคุ้มค่าให้ผู้บริโภคผ่านกลยุทธ์ “Value Strategy” พร้อมยกระดับระบบหลังบ้านด้วย AI ลดต้นทุน และพัฒนาประสบการณ์ลูกค้าแบบเฉพาะบุคคล
บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือที่รู้จักในนาม MK GROUP ประกาศเดินหน้าปรับโฉมธุรกิจร้านอาหารครั้งสำคัญในรอบหลายปี ด้วยการแปลงโมเดลร้าน MK Restaurants เดิมให้กลายเป็น บุฟเฟต์เต็มรูปแบบ (MK Buffet) รองรับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่มองหาความคุ้มค่าและประสบการณ์การรับประทานอาหารแบบจัดเต็ม โดยเฉพาะในตลาดสุกี้ที่มีการแข่งขันรุนแรงจากแบรนด์ใหม่และโปรโมชั่นดึงดูดลูกค้า
จากการเปิดเผยของ ทานตะวัน ธีระโกเมน และ ธีร์ ธีระโกเมน สองกรรมการผู้จัดการใหญ่ของบริษัท ชี้ว่าในปี 2568 ภาพรวมธุรกิจร้านอาหารโดยเฉพาะเชนขนาดใหญ่ จะเผชิญความท้าทายทั้งด้านเศรษฐกิจและการแข่งขัน ทำให้บริษัทต้องเร่งปรับตัวและลงทุนเชิงกลยุทธ์ เพื่อรักษาความเป็นผู้นำตลาดที่ครองอยู่ในปัจจุบัน
ปัจจุบัน MK GROUP มีร้านอาหารในเครือรวม 13 แบรนด์ จำนวน 723 สาขา ทั้งในไทยและต่างประเทศ ได้แก่ MK Restaurants, MK Live, MK Gold, YAYOI, แหลมเจริญ ซีฟู้ด, HIKINIKU TO COME, HAKATA Ramen, MIYAZAKI, เลอ สยาม, ณ สยาม, BIZZY BOX, LE PETIT, และ Multi Brand พร้อมสาขาแฟรนไชส์ในญี่ปุ่น เวียดนาม ลาว และมาเลเซีย
ในปี 2568 บริษัทมีแผนเปิดสาขาใหม่ในประเทศอีก 15 แห่ง ได้แก่ MK Restaurants 5 สาขา, YAYOI 3 สาขา, แหลมเจริญ 5 สาขา และ HIKINIKU TO COME 2 สาขา รวมถึงขยายแบรนด์เรือธงอย่าง แหลมเจริญ ซีฟู้ด สู่มาเลเซียเพิ่มอีก 2 แห่ง ผ่านระบบแฟรนไชส์
MK Buffet ถูกทดสอบนำร่องไปแล้วที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เวสต์เกต โดยตั้งราคาหลากหลายเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ ซึ่งได้รับการตอบรับดีจากผู้บริโภค โดยเฉพาะในกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับราคาคุ้มค่าและประสบการณ์การทานอาหารแบบไม่จำกัด
ไม่เพียงธุรกิจร้านอาหารเท่านั้น บริษัทฯ ยังเตรียมรุกธุรกิจค้าปลีก ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น “น้ำจิ้มสูตรใหม่” และขยายช่องทางจัดจำหน่ายจากร้านสะดวกซื้อไปยังซูเปอร์มาร์เก็ตและไฮเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำ เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ด้านโลจิสติกส์ บริษัทในเครือ M-SENKO ที่ให้บริการคลังสินค้าและขนส่งสินค้าแช่เย็นและแช่แข็ง มีแผนเพิ่มศูนย์กระจายสินค้าทั่วหัวเมืองใหญ่ พร้อมให้บริการนำเข้าและส่งออกวัตถุดิบแบบครบวงจร เพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุน และลดความซับซ้อนในระบบซัพพลายเชน
อีกหนึ่งการลงทุนที่สำคัญคือการใช้ AI เข้ามาช่วยบริหารจัดการหลังบ้าน โดยเฉพาะในเรื่องของการลดการสูญเสีย (Food Waste) และควบคุมสต็อกให้เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละสาขา ช่วยลดต้นทุนและเสริมประสิทธิภาพให้ธุรกิจเดินหน้าได้อย่างยั่งยืน
MK GROUP ยังวางแนวทางกลยุทธ์ปี 2568 ภายใต้แนวคิด “Value Strategy” ประกอบด้วย 3 หัวใจหลัก ได้แก่
Value Creation – สร้างคุณค่าและประสบการณ์ใหม่จาก Customer Insight
Value Relationship – รักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าผ่านการทำ Segmentation และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก
Value Accessible – ทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงความคุ้มค่าและคุณภาพได้ง่ายขึ้นในทุกช่องทาง
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังวางแผนเชื่อมโยงข้อมูลลูกค้าภายใต้ระบบ CEM (Customer Experience Management) เพื่อยกระดับ Customer Journey ทั้งหมดในเครือ พร้อมเตรียมเปิดตัวระบบ Group Member ที่รวบรวมสิทธิประโยชน์จากทุกแบรนด์ไว้ในที่เดียวในไตรมาสที่ 3 ปี 2568
ข้อมูล : bangkokbiznews