ในขณะที่สมรภูมิรองเท้ากีฬาทั่วโลกยังเต็มไปด้วยการแข่งขันดุเดือด แบรนด์ที่ถูกมองว่า “ไม่หรูหราแต่เดินได้ไกล” อย่าง Skechers กลับตัดสินใจครั้งใหญ่—ขายกิจการให้บริษัทการเงินข้ามชาติ 3G Capital ด้วยมูลค่ากว่า 3.4 แสนล้านบาท ท่ามกลางความเติบโตต่อเนื่องของรายได้ และสถานะทางธุรกิจที่ยังเข้มแข็ง คำถามคือ: ทำไม “เจ้าพ่อรองเท้าสบาย” ถึงยอมก้าวลงจากเวที?
เบื้องหลังดีลที่ “เงินยังดี แต่ใจไม่ไหว”
แม้ Skechers จะมียอดขายเติบโตถึง 7% ในช่วงต้นปี 2025 แต่ความเปลี่ยนแปลงในระดับมหภาคกำลังกัดกินความมั่นคงของบริษัทจากภายใน โดยเฉพาะมาตรการภาษีนำเข้าของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ที่กดดันธุรกิจอเมริกันที่พึ่งพาการผลิตและส่งออกจากต่างประเทศอย่างหนักหน่วง
เมื่อราคาหุ้นของ Skechers ร่วงลงกว่า 40% จากจุดสูงสุด ทั้งๆ ที่รายได้ยังเติบโต แรงกดดันในฐานะบริษัทมหาชนจึงมากเกินจะต้านไหว การเลือกกลับไปเป็นบริษัทเอกชนจึงไม่ใช่ “การถอย” แต่คือการ “ตัดภาระ” ที่มากับแสงไฟของตลาดหลักทรัพย์
แรงสั่นสะเทือนจากโลกภายนอก
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โลกธุรกิจต้องเผชิญกับแรงเสียดทานจากหลายทิศ ทั้งภาวะเงินเฟ้อ, สงครามการค้า, ค่าเงินผันผวน และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะสำหรับ Skechers ที่มีตลาดใหญ่ในเอเชียและตะวันออกกลาง สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนไม่ต่างจากพายุที่ทำให้เส้นทางขนส่งและต้นทุนการผลิตปั่นป่วน
ในบริบทเช่นนี้ บริษัทที่เน้น “ฟังก์ชันมากกว่าฟอร์ม” อย่าง Skechers ต้องเลือกเส้นทางใหม่เพื่อรักษาความยืดหยุ่น และลดแรงต้านจากภายนอก
สัญญาณในตัวเลข: ไม่ใช่แค่ขายดี แต่เหนื่อยใจ
รายได้ Skechers ทั่วโลกปี 2024 ทะลุ 8 พันล้านดอลลาร์ โดย 2 ใน 3 มาจากนอกสหรัฐอเมริกา แต่หากเจาะลึกจะพบว่า อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) เริ่มผันผวนมากขึ้น เนื่องจากต้นทุนจากภาษีนำเข้าและค่าขนส่งที่สูงขึ้น
แม้สินค้าจะยังขายได้ แต่ “ต้นทุนความไม่แน่นอน” ทำให้การวางแผนระยะยาวเป็นเรื่องยาก Skechers จึงเลือกตัดสินใจ “ขายตอนยังแข็งแรง” ดีกว่าปล่อยให้ความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจกลืนแบรนด์ทีละน้อย
เมื่อรองเท้าคู่เดิมเดินไม่ไหว ต้องหาคู่ใหม่เดินต่อ
3G Capital ไม่ใช่ชื่อแปลกหน้าในวงการลงทุน พวกเขาเคยเปลี่ยน Burger King ให้กลับมายืนแถวหน้าในสมรภูมิฟาสต์ฟู้ด และเป็นเจ้าของ Tim Hortons รวมถึง Kraft Heinz แม้ไม่เคยมีประสบการณ์ในวงการแฟชั่น แต่ก็มองเห็น “แบรนด์ในมือ” ที่ยังมีพลังเติบโตมหาศาล
การรักษาทีมบริหารดั้งเดิมของ Skechers เอาไว้ ทั้งโรเบิร์ต และไมเคิล กรีนเบิร์ก เป็นการผสมผสาน “เงินทุนใหม่” กับ “หัวใจเก่า” ที่ยังเต้นในจังหวะของแบรนด์เดิม—เป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาด เพื่อให้ Skechers ไม่สูญเสีย DNA ที่ทำให้คนรักมันมาโดยตลอด
ในชีวิตจริง คนจำนวนไม่น้อยหันมาเลือกรองเท้าที่ “เดินได้นานกว่าสวย” และ Skechers ตอบโจทย์ตรงนั้นได้ แม้จะไม่ใช่แบรนด์หรู แต่ความสบายเท้าและราคาจับต้องได้คือเหตุผลที่แบรนด์นี้ครองใจผู้บริโภควัยทำงาน วัยเกษียณ ไปจนถึงเด็กวัยเรียน
การเปลี่ยนมือเจ้าของกิจการ อาจไม่กระทบผู้บริโภคโดยตรงในระยะสั้น แต่หาก 3G Capital เดินเกมลดต้นทุนแบบที่เคยทำในบริษัทอื่น อาจเกิดการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ ซึ่งสุดท้ายอาจกระทบต่อคุณภาพสินค้า, ราคาขาย หรือแม้กระทั่งพนักงานในระบบซัพพลายเชนทั่วเอเชีย
นักวิเคราะห์บางรายมองว่า 3G Capital มีแนวโน้มจะปั้น Skechers ใหม่เพื่อ “เข้า IPO อีกครั้ง” เมื่อแรงกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์คลี่คลาย นั่นอาจหมายถึงช่วงเวลาแห่ง “การเพิ่มมูลค่า” ที่จะนำไปสู่การขายต่อในราคาที่สูงขึ้น
ในอีกมุมหนึ่ง การนำ Skechers ไปสู่ตลาดใหม่ เช่น รองเท้าฟุตบอล เสื้อผ้า หรือสินค้าคอลเลกชันพิเศษที่จับกลุ่มวัยรุ่น อาจเป็นการวางรากฐานให้แบรนด์กลายเป็น “Nike สำหรับคนไม่ชอบ Nike”
แต่ทุกอย่างต้องแลกด้วยการจัดการที่รัดกุมขึ้น และนั่นอาจทำให้ Skechers ที่เรารู้จัก… เปลี่ยนไป
ข้อมูล : bangkokbiznews