หนี้เสียทะลุ 1.2 ล้านล้าน หนี้ค้างจ่ายบ้าน-รถยังไม่ฟื้น

เครดิตบูโรเผยไตรมาส 1/68 หนี้เสียยังพุ่งต่อเนื่องแม้ลดลงเล็กน้อย ข้อมูลสะท้อนประชาชนยังเปราะบาง หนี้ค้างจ่ายระดับแสนบาทกระทบคนกว่า 3 ล้านคน เสนอรัฐเร่งมาตรการช่วยเหลือผู้สู้ไม่ยอมเป็น NPLs

กรุงเทพฯ วันที่ 9 พฤษภาคม 2568นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวถึงสถานการณ์ หนี้สินครัวเรือน ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2568 พบยอดหนี้เสียรวมในระบบเครดิตบูโรสูงถึง 1.19 ล้านล้านบาท แม้จะลดลงจากเดือนมกราคมเล็กน้อย แต่ยังสะท้อนภาวะเปราะบางของประชาชน โดยหนี้ค้างจ่ายระดับต่ำกว่า 1 แสนบาท กระจายอยู่ในกลุ่มลูกหนี้กว่า 3.28 ล้านคน ส่งผลต่อความสามารถในการใช้ชีวิตพื้นฐานและมีโอกาสฟื้นตัว หากได้รับการเยียวยาอย่างเหมาะสม

ข้อมูลจากเครดิตบูโรระบุว่า ยอดหนี้สินครัวเรือนของประเทศอยู่ที่ 16.2 ล้านล้านบาท ขณะที่หนี้ที่อยู่ภายใต้ระบบเครดิตบูโรซึ่งจัดเก็บจากสถาบันการเงินกว่า 160 แห่ง มีอยู่ที่ 13.5 ล้านล้านบาท โดย หนี้เสีย (NPLs) รวมอยู่ที่ 1.19 ล้านล้านบาท ครอบคลุมลูกหนี้ 5.15 ล้านคน หรือ 9.13 ล้านบัญชี แม้ตัวเลขนี้จะลดลงราว 30,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงต้นปี แต่ยังถือว่าสูงในเชิงโครงสร้าง

หนี้ต่ำกว่าแสนบาทแต่กระทบวงกว้าง

หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยก คือกลุ่มลูกหนี้ที่มี หนี้เสียไม่เกิน 1 แสนบาท ซึ่งรวมมูลค่ากว่า 120,000 ล้านบาท หรือราว 10% ของยอดหนี้เสียทั้งหมด กลุ่มนี้มีจำนวน 3.28 ล้านคน ถือเป็นกลุ่มที่ “มีโอกาสฟื้น” หากรัฐหรือเจ้าหนี้มีมาตรการที่เหมาะสม เนื่องจากส่วนใหญ่เป็น หนี้ไม่มีหลักประกัน และเจ้าหนี้ได้ตั้งสำรองครบตามมาตรฐานบัญชีแล้ว

อย่างไรก็ตาม ปัญหาสำคัญคือ “เจ้าหนี้ไม่สามารถติดต่อกลุ่มนี้ได้” ทำให้แม้จะมีการสำรองหนี้สูญ แต่ลูกหนี้ยังคงอยู่ในระบบเศรษฐกิจ และมีความสามารถในการกลับมาทำงานหากได้รับโอกาส นายสุรพล ตั้งคำถามถึงความคุ้มค่าของการบังคับคดีที่ลากยาวกว่า 10 ปี โดยเสนอว่าควรใช้มาตรการปรับโครงสร้างหรือช่วยเหลือเพื่อดึงพลังแรงงานกลับคืนระบบ มากกว่าปล่อยให้ระบบการติดตามหนี้ “ลงโทษซ้ำซ้อน”

หนี้ค้างจ่ายเริ่มลด แต่ยังอยู่ในระดับสูง

ในส่วนของ หนี้กำลังจะเสีย (SM) หรือหนี้ที่ค้างจ่ายระหว่าง 31-90 วัน อยู่ที่ 575,000 ล้านบาท แม้จะลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 644,000 ล้านบาท หรือ ลดลง 10.8% แต่ยังถือว่าอยู่ในระดับที่ต้องเฝ้าระวัง

นอกจากนี้ ยังมี หนี้ที่ผ่านการปรับโครงสร้างหลังเป็น NPLs (TDR) อยู่ที่ 1.08 ล้านล้านบาท ใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า ซึ่งอยู่ที่ 1.07 ล้านล้านบาท แสดงให้เห็นว่ามาตรการ TDR ยังไม่มีความเคลื่อนไหวชัดเจน ขณะที่ การปรับโครงสร้างหนี้เชิงป้องกัน (DR) ก่อนที่จะไหลเป็น NPLs กลับเพิ่มขึ้นอย่างน่ากังวล โดยอยู่ที่ 1.12 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 31.7% จากไตรมาสก่อน สะท้อนถึงภาระหนี้ที่เริ่ม “ผ่อนติดขัด” มากขึ้นในระบบ

หนี้บ้าน-รถ ยังน่าห่วง

ข้อมูลจากระบบเครดิตบูโรยังเผยว่า หนี้เสียในกลุ่มสินเชื่อสำคัญยังอยู่ในระดับสูง ได้แก่

  • หนี้บ้าน อยู่ที่ 232,008 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.5% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แม้จะลดลง 0.4% จากไตรมาสก่อนหน้า
  • หนี้รถยนต์ อยู่ที่ 265,849 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แม้ลดลงเล็กน้อย 0.5% จากไตรมาสก่อนหน้า
  • หนี้บัตรเครดิต อยู่ที่ 69,480 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.1% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้น 0.7% จากไตรมาสก่อน

ส่วนหนี้ในกลุ่ม SM (ค้างจ่าย 31-90 วัน) ก็ยังสูง โดยหนี้บ้านอยู่ที่ 182,018 ล้านบาท, รถยนต์ 171,329 ล้านบาท และบัตรเครดิต 9,605 ล้านบาท

เสนอช่วยลูกหนี้ “ที่สู้” เพื่อไม่เป็น NPLs

ในท้ายโพสต์ นายสุรพลตั้งข้อสังเกตว่า กลุ่มลูกหนี้ที่ทำ DR แล้วผ่อนตามสัญญา คือกลุ่มที่ “มีแผลแต่ไม่ยอมแพ้” ควรได้รับการสนับสนุนเชิงนโยบาย เช่น เข้าร่วมโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” เพราะยังมีแรงจูงใจให้รักษาวินัยทางการเงิน แต่กลับถูกมองว่า “ไม่จำเป็นต้องช่วย” แม้จะเป็นแนวหน้าที่ช่วยสกัดไม่ให้กลายเป็น NPLs

คำถามสำคัญจึงอยู่ที่ว่า ในเมื่อเงินช่วยเหลือยังเหลือเปล่าอยู่มาก จะเก็บไว้เป็น “ห่วงยาง” รอภัยพิบัติในรอบหน้า หรือจะเลือกใช้ช่วยคนที่ยังมีความพยายามในตอนนี้

ข้อมูล : matichon