รัฐบาลเริ่มจ่ายเงินสงเคราะห์บุตร 1,000 บาทงวดแรกให้ผู้ประกันตน ม.33 และ ม.39 ตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน 2568 แต่แม้มาตรการนี้จะช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายครัวเรือนไทยในช่วงข้าวยากหมากแพง ทว่าในชีวิตจริง หลายครอบครัวยังคงเผชิญแรงกดดันจากค่าครองชีพที่สูงขึ้นเร็วกว่ารายได้
เศรษฐกิจไทยกำลังวิ่งสวนทางกับความหวังของประชาชน อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานแม้ชะลอลงเหลือ 1.3% แต่ราคาสินค้าในชีวิตประจำวัน เช่น อาหารสด ค่าเดินทาง และค่าบริการทั่วไป ยังคงเร่งตัวตามต้นทุนน้ำมันและเงินบาทที่อ่อนค่า ประกอบกับการเติบโตของ GDP ที่ยังไม่กระจายทั่วถึง ทำให้ครัวเรือนส่วนใหญ่ยังรู้สึก “แบกภาระ” มากกว่าจะ “ขยับฐานะ”
ในเวทีโลก ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอแรงจากนโยบายดอกเบี้ยสูง และจีนยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ไทยต้องดิ้นรนประคองตัวในพายุเศรษฐกิจที่ยังไม่มีทีท่าจะสงบ
เงินสงเคราะห์บุตรที่เพิ่มขึ้นจาก 800 บาทเป็น 1,000 บาทต่อคนต่อเดือนนั้น ถือเป็นความเคลื่อนไหวที่สะท้อนความพยายามของรัฐบาลในการจัดสวัสดิการครอบครัว แต่เมื่อพิจารณาในเชิงตัวเลขจริง พบว่า:
- ครัวเรือนที่มีลูก 2 คน จะได้รับเงิน 2,000 บาทต่อเดือน หรือเฉลี่ย 66 บาทต่อวัน
- ขณะที่ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าอาหารกลางวัน และค่าของใช้เด็กเล็กต่างปรับเพิ่มเฉลี่ย 5-15% ภายในปีที่ผ่านมา
กล่าวคือ เงินที่เพิ่มขึ้นช่วยได้บางส่วน แต่ยังไม่เพียงพอรองรับต้นทุนชีวิตที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
สัญญาณบวกคือ การบูรณาการหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อออกมาตรการตรงกลุ่มเป้าหมาย (ครอบครัวแรงงาน)
แต่สัญญาณลบคือ มาตรการนี้ยังไม่เชื่อมโยงกับการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง เช่น ค่าจ้างขั้นต่ำที่แท้จริง หรือการพัฒนาบริการสาธารณะที่ลดค่าใช้จ่ายครัวเรือนได้
สำหรับครอบครัวแรงงาน เงิน 1,000 บาทต่อบุตรหนึ่งคนต่อเดือน เปรียบได้กับ “ยาหอมชะลออาการ” มากกว่าการ “รักษาโรค” ที่แท้จริง แม้จะช่วยให้ครัวเรือนพอมีเงินซื้อแพมเพิร์ส นมผง หรือจ่ายค่าอาหารเด็กได้เพิ่มเติมเล็กน้อย แต่ในภาพรวม ค่าใช้จ่ายหลัก ๆ เช่น ค่าเรียนพิเศษ ค่ารักษาพยาบาล และค่าครองชีพในเมืองใหญ่ยังขยับไกลเกินเอื้อม
สำหรับ SMEs โดยเฉพาะกลุ่มที่ใช้แรงงานจำนวนมาก เช่น ร้านอาหาร โรงแรม และภาคบริการ มาตรการนี้อาจช่วยบรรเทาความตึงตัวในตลาดแรงงานเล็กน้อย เพราะลดความกังวลของแรงงานเกี่ยวกับภาระครอบครัว
เงินสงเคราะห์บุตร 1,000 บาทถือเป็น “ก้าวแรก” ของการขยายสวัสดิการในภาวะเศรษฐกิจเปราะบาง แต่หากหวังให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน รัฐบาลจำเป็นต้องเดินหน้ามาตรการอื่นควบคู่ เช่น การตรึงราคาสินค้าจำเป็น, การเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำที่สัมพันธ์กับค่าครองชีพ, และการลงทุนในบริการสาธารณะที่ลดค่าใช้จ่ายครัวเรือน
หากไม่เร่งเสริม “ยาพื้นฐาน” เหล่านี้ เศรษฐกิจครัวเรือนไทยอาจยังคงติดหล่มความเปราะบาง แม้จะมี “เงินเติม” เข้าบัญชีทุกสิ้นเดือนก็ตาม