ในตลาดแฟชั่นโลกที่มีการแข่งขันสูงและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่ม Fast Fashion ที่มีแบรนด์ยักษ์ใหญ่อย่าง Zara, H&M และน้องใหม่มาแรงอย่าง Shein นั้น กลับมีแบรนด์หนึ่งที่เลือกเดินบนเส้นทางที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง Uniqlo ไม่ได้เน้นความรวดเร็วของแฟชั่น แต่กลับมุ่งมั่นในเรื่องคุณภาพและความเรียบง่ายเหนือกาลเวลา บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกถึงที่มาที่ไปและวิเคราะห์กลยุทธ์ที่น่าสนใจของ Uniqlo จากร้านตัดสูทเล็กๆ สู่แบรนด์ระดับโลกที่กำลังก้าวขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง
จุดเริ่มต้นจากร้านตัดสูทเล็กๆ ในยามากูจิ
เรื่องราวของ Uniqlo เริ่มต้นในปี 1949 หรือประมาณ 76 ปีที่แล้ว เมื่อคุณพ่อของคุณทาดาชิ ยานาอิ ได้เปิดร้านตัดสูทเล็กๆ ในเมืองยามากูจิ ประเทศญี่ปุ่น หลังจากนั้นประมาณ 30 กว่าปี คุณทาดาชิ ยานาอิ ได้เข้ามารับช่วงต่อและย้ายร้านไปยังฮิโรชิมา โดยเปิดร้านใหม่ชื่อว่า Unique Clothing Warehouse แต่ด้วยความผิดพลาดในการจดทะเบียน ทำให้ชื่อร้านกลายเป็น Uniqlo ซึ่งคุณยานาอิก็ตัดสินใจใช้ชื่อนี้มาจนถึงปัจจุบัน
วิสัยทัศน์ที่ไม่เน้นแฟชั่น แต่ตอบโจทย์ชีวิตประจำวัน
สิ่งที่ทำให้ Uniqlo แตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ ในยุคนั้นคือ วิสัยทัศน์ที่มุ่งเน้นไปที่ความต้องการของผู้คนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้ต้องการแฟชั่นจ๋า แต่ต้องการเสื้อผ้าที่สามารถสวมใส่ได้ทุกวัน ทุกโอกาส จุดนี้เองที่เป็นแก่นหลักสำคัญที่ผลักดันให้ Uniqlo ก้าวไปสู่การเป็นแบรนด์ระดับโลก คุณทาดาชิ ยานาอิ ผู้ก่อตั้ง Uniqlo ได้ตั้งเป้าหมายไว้อย่างชัดเจนว่าเขาจะทำให้แบรนด์นี้เป็นอันดับ 1 ของโลกให้ได้ ซึ่งปัจจุบัน Uniqlo มีมูลค่าสูงถึง 2 ล้านล้านบาท
กลยุทธ์ที่แตกต่าง: จาก “บริษัทเทคโนโลยีที่ทำเสื้อผ้า” สู่ “Lifeware”
Uniqlo ไม่เคยประกาศว่าตัวเองเป็นแบรนด์แฟชั่น แต่พวกเขานิยามตัวเองว่าเป็น “บริษัทเทคโนโลยีที่มาทำเสื้อผ้า” แทนที่จะทุ่มเงินจ้างดีไซเนอร์ชื่อดังมาออกแบบ พวกเขากลับ ลงทุนอย่างหนักในด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อสร้างสรรค์เสื้อผ้าที่มีคุณภาพและตอบโจทย์การใช้งานจริง เช่น Heattech ที่ช่วยกักเก็บความร้อนในช่วงฤดูหนาว AIRism ที่ระบายอากาศได้ดี หรือ Ultra Light Down เสื้อขนเป็ดน้ำหนักเบา
ผลิตภัณฑ์เหล่านี้อยู่ภายใต้แนวคิดหลักที่เรียกว่า “Lifeware” ซึ่งหมายถึงเสื้อผ้าที่สามารถสวมใส่ได้ทุกที่ ทุกเวลา ในชีวิตประจำวัน แม้แต่แบรนด์ภายใต้ Uniqlo อย่าง Mame Kurogouchi ก็ยังคงใช้แนวคิด Lifeware เป็นหลัก โดยมีเรื่องแฟชั่นเข้ามาเสริม ผลลัพธ์จากกลยุทธ์นี้เห็นได้ชัดจากยอดขายที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด จากไม่ถึง 1 แสนล้านเยนในปี 2000 สู่ 2.7 ล้านล้านเยนในปี 2020 ซึ่งเติบโตถึง 27 เท่าในระยะเวลา 20 ปี
ครองใจคนทั่วโลกด้วยคุณภาพ ราคา และการปรับตัว
Uniqlo สามารถครองใจผู้บริโภคทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทยที่เข้ามาตั้งแต่ประมาณปี 2554 ได้ด้วยหลายปัจจัย ในช่วงแรก หลายคนอาจมองว่าเสื้อผ้า Uniqlo เรียบง่ายจนเหมือนหาซื้อได้ตามตลาดทั่วไป แต่เมื่อได้ลองสวมใส่จึงได้สัมผัสถึง คุณภาพที่แตกต่างและเหนือกว่า จนทำให้ปัจจุบัน Uniqlo กลายเป็นแบรนด์ที่ถูกมองว่ามีคุณภาพสูงและคุ้มค่ากับราคา
นอกจากคุณภาพแล้ว Uniqlo ยังมีกลยุทธ์ที่น่าสนใจในเรื่องของ Localization หรือการปรับตัวให้เข้ากับตลาดท้องถิ่น ตัวอย่างเช่น การปรับขนาดเสื้อผ้าให้เหมาะสมกับสรีระของคนไทย การกำหนดราคาที่อยู่ในระดับที่คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ เมื่อเทียบกับแบรนด์ที่มีคุณภาพใกล้เคียงกันอย่าง Muji ที่มีราคาสูงกว่า
Uniqlo ยังให้ความสำคัญกับการ ปรับตัวเข้าสู่ช่องทางออนไลน์อย่างรวดเร็ว ทั้งเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน และการใช้เทคโนโลยี รวมถึงการวิเคราะห์ข้อมูล (Data) นอกจากนี้ ยังเป็นเจ้าแรกๆ ที่นำ ระบบ Omni Channel มาใช้ เช่น ระบบ Click and Collect ที่ให้ลูกค้าสั่งซื้อออนไลน์และไปรับสินค้าที่ร้านได้ ซึ่งตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการจองสินค้าที่กลัวหมด หรือต้องการลองสินค้าจริงก่อนตัดสินใจซื้อ ที่สำคัญ Uniqlo ยังเลือกที่จะ เปิดสาขาเฉพาะในห้างสรรพสินค้าหลักๆ เท่านั้น ซึ่งแตกต่างจาก Fast Fashion แบรนด์อื่นๆ ที่มักจะขยายสาขาไปในหลายพื้นที่
เปรียบเทียบกับคู่แข่ง: จุดแข็งและจุดอ่อน
แม้ Uniqlo จะมีข้อดีมากมาย แต่ก็มีจุดอ่อนในเรื่องของ แบบแฟชั่นที่ไม่หลากหลายเท่ากับ H&M หรือ Zara เนื่องจาก Uniqlo เลือกที่จะไม่เน้นแฟชั่น ทำให้การออกคอลเลกชันใหม่ๆ อาจจะไม่รวดเร็วเท่าแบรนด์ Fast Fashion เหล่านั้น ในขณะที่ Shein เป็น Ultra Fast Fashion ที่มีความรวดเร็วและราคาถูกกว่าแบรนด์อื่นๆ แต่ก็ไม่มีหน้าร้าน
เมื่อพิจารณาจากตัวเลข Zara ยังคงเป็นอันดับ 1 ในด้านรายได้รวมที่ 1.44 ล้านล้านบาท ตามมาด้วย H&M (~780,000 ล้านบาท) และ Shein (~800,000 ล้านบาท) ส่วน Uniqlo อยู่ที่ประมาณเกือบ 700,000 ล้านบาท ด้าน กำไร Zara ก็ยังคงนำโด่งที่ 2 แสนกว่าล้านบาท ในขณะที่ Uniqlo ทำกำไรได้ 7 หมื่นล้านบาท ส่วน H&M และ Shein ใกล้เคียงกันที่ประมาณ 2 หมื่นกว่าล้านบาท ในด้าน มูลค่าบริษัท ปัจจุบัน Zara ก็ยังคงเป็นอันดับ 1 ที่ 4.5 ล้านล้านบาท ตามมาด้วย Shein ที่ 2-3 ล้านล้านบาท และ Uniqlo ที่ 2.2 ล้านล้านบาท ส่วน H&M อยู่ที่ประมาณ 790,000 ล้านบาท ซึ่งถูก Shein แซงไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนหลายสถาบันมองว่า หาก Uniqlo ยังสามารถเติบโตในระดับนี้ต่อไปได้อีกประมาณ 4-5 ปีข้างหน้า จะมีโอกาสสูงมากที่จะก้าวขึ้นเป็นอันดับ 1 ของโลก โดยเฉพาะในตลาดเอเชียที่ Uniqlo มีความได้เปรียบในเรื่องของคุณภาพระยะยาว
The Unlock Key Takeaway: หัวใจสำคัญสู่ความสำเร็จของ Uniqlo
- สร้างสินค้าที่ตอบโจทย์การใช้งานจริง: Uniqlo เข้าใจว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่ต้องการเสื้อผ้าที่มีคุณภาพและใส่ได้ในชีวิตประจำวันมากกว่าแฟชั่นที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
- อย่าวิ่งตามเทรนด์จนลืมตัวตน: Uniqlo มีจุดยืนที่ชัดเจนมาตั้งแต่ต้น และยังคงรักษาจุดยืนนั้นไว้ โดยนำเรื่องของความเร็วของแฟชั่นมาเป็นเพียงส่วนเสริม เช่น การร่วมมือกับแบรนด์ต่างๆ
สิ่งที่ Uniqlo ขายไม่ใช่แค่เสื้อผ้าเรียบๆ แต่คือ ความเรียบง่าย ความน่าเชื่อถือ และความเข้าใจในความต้องการของมนุษย์ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของธุรกิจที่ยั่งยืน ในขณะที่ธุรกิจที่ทำตามกระแสอาจได้เงินเร็ว แต่ก็อาจจะหมดความนิยมไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน
ข้อมูล : กรุงเทพธุรกิจ