ผู้ให้บริการเดลิเวอรี่รายใหญ่ “foodpanda” ประกาศยุติการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยภายในวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 หลังขาดทุนต่อเนื่องหลายพันล้านบาทตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา แม้จะเคยเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มยอดนิยมของผู้บริโภคในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลการประกาศยุติกิจการของ foodpanda ประเทศไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการสั่งอาหารออนไลน์รายใหญ่ ได้สร้างความตกใจให้กับผู้ใช้จำนวนมาก โดยบริษัทแจ้งว่าจะปิดให้บริการแอปพลิเคชันทั้งหมดในประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป ทั้งนี้ foodpanda เริ่มต้นดำเนินกิจการในไทยเมื่อปี 2555 ภายใต้การบริหารของ บริษัท เดลิเวอรี่ ฮีโร่ (ประเทศไทย) จำกัด โดยใช้สัญลักษณ์ “หมีแพนด้า” เป็นมาสคอตจดจำ เปิดให้บริการตั้งแต่ยุคที่ผู้ใช้งานต้องโทรสั่งอาหาร ก่อนพัฒนาเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ครบวงจรตลอดช่วงเวลากว่า 13 ปีที่ผ่านมา foodpanda ได้ขยายบริการครอบคลุมหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการสั่งอาหารเดลิเวอรี่ การรับอาหารที่ร้าน (Pick-up) การนั่งรับประทานที่ร้าน (Dine-in) รวมถึงการซื้อของใช้จากร้านสะดวกซื้อและซูเปอร์มาร์เก็ต (Mart) ซึ่งสะท้อนถึงความพยายามในการปรับตัวเพื่อแข่งขันในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอย่างไรก็ตาม การตรวจสอบข้อมูลจาก Creden Data อ้างอิงฐานข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุชัดว่าผลประกอบการของ foodpanda ประเทศไทย ตลอดช่วงปี 2558-2566 ประสบภาวะขาดทุนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงปี 2562-2565 ที่มีการขาดทุนสุทธิระดับ “พันล้านบาทต่อปี” แม้รายได้จะเติบโตเป็นหลักพันล้านก็ตามในปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดวิกฤตโควิด-19 foodpanda มีรายได้รวมกว่า 4,375 ล้านบาท แต่กลับขาดทุนสุทธิมากถึง 3,595 ล้านบาท และในปีถัดมา (2564) รายได้เพิ่มเป็น 6,786 ล้านบาท ทว่าขาดทุนก็พุ่งตามไปถึง 4,721 ล้านบาท สะท้อนภาระต้นทุนที่สูงเกินรายได้ และการลงทุนเชิงรุกที่อาจไม่ตอบโจทย์ในระยะยาวแม้ในปีล่าสุด 2566 จะมีแนวโน้มดีขึ้น โดยลดการขาดทุนสุทธิเหลือ 522 ล้านบาท จากรายได้รวมกว่า 3,843 ล้านบาท แต่สถานะทางการเงินของบริษัทก็ยังน่าเป็นห่วง โดยมีสินทรัพย์รวมเพียง 1,587 ล้านบาท ขณะที่หนี้สินรวมสูงถึง 15,194 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับที่อาจสร้างภาระต้นทุนทางการเงินเกินศักยภาพของกิจการในอนาคตการถอนตัวของ foodpanda จากประเทศไทยอาจส่งผลสะเทือนต่อตลาดฟู้ดเดลิเวอรี่ในภาพรวม โดยเฉพาะในช่วงที่ผู้บริโภคไทยยังคงพึ่งพาบริการสั่งอาหารออนไลน์อย่างต่อเนื่อง และยังไม่มีผู้เล่นรายใดสามารถครองตลาดแบบเบ็ดเสร็จ ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวจากกลุ่มทุนคู่แข่ง เช่น Grab, LINE MAN และ Robinhood น่าจับตาเป็นพิเศษในช่วงถัดจากนี้ ว่าจะเข้ามาเติมช่องว่างทางการตลาดที่เหลืออยู่ได้อย่างไร
ข้อมูล : sanook