กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เผยรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลกเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2568 โดยหั่นคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจปีนี้ลงเหลือ 2.8% ภายใต้ฉากทัศน์การค้าปัจจุบัน โดยชี้ว่าเศรษฐกิจโลกชะลอตัวแต่ยังไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย ขณะเดียวกันปรับลดคาดการณ์การเติบโตของประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญเหลือเพียง 1.8% ถือว่าต่ำที่สุดในกลุ่มอาเซียน แม้จีนและเวียดนามก็ได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีศุลกากรของสหรัฐเช่นเดียวกัน
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้เผยแพร่รายงาน World Economic Outlook ฉบับล่าสุดเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2568 โดยเน้นย้ำถึงความเปราะบางของเศรษฐกิจโลกจากผลกระทบของ นโยบายภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของสหรัฐ ซึ่งเริ่มประกาศใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา รายงานระบุว่าเศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญความเสี่ยงจากการชะลอตัว แม้ยังไม่เข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างเป็นทางการ โดย IMF ได้จัดทำฉากทัศน์การเติบโตทางเศรษฐกิจไว้ 3 แบบตามระดับความรุนแรงของมาตรการภาษี
ในฉากทัศน์แรก อิงตามอัตราภาษีที่ประกาศถึงวันที่ 4 เมษายน 2568 คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโตเพียง 2.8% ลดลงจาก 3.6% ที่เคยคาดการณ์ไว้เมื่อเดือนมกราคม ขณะที่ฉากทัศน์ที่สอง ซึ่งไม่นับผลของมาตรการภาษีใหม่ล่าสุดจากสหรัฐ คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะยังคงขยายตัวที่ 3.2% ส่วนฉากทัศน์ที่สาม ซึ่งคำนึงถึงการชะลอการเก็บภาษี 90 วันของสหรัฐ ไม่แตกต่างจากฉากทัศน์แรกมากนัก เนื่องจากสหรัฐยังคงภาษีสูงกับจีนที่ 145% ส่งผลให้ความไม่แน่นอนด้านการค้าทั่วโลกยังคงอยู่
แม้ภาพรวมจะยังไม่เข้าสู่ ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) แต่อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกได้ปรับขึ้นเล็กน้อย 0.1 จุดเปอร์เซ็นต์ ขณะที่เงินฝืดยังปรากฏในหลายประเทศ ส่งผลให้ภาคธุรกิจต้องเร่งปรับเปลี่ยนเส้นทางการค้า และลดการพึ่งพาการนำเข้าสินค้าจากแหล่งเดิม
เศรษฐกิจของสหรัฐ ถูกปรับลดการเติบโตลงจาก 2.8% เหลือ 1.8% เนื่องจากผลของ เงินเฟ้อที่สูงขึ้น จากราคาสินค้านำเข้าที่พุ่งขึ้น เช่นเดียวกับ เศรษฐกิจจีน ที่ถูกหั่นเป้าหมายการเติบโตลงเหลือ 4.0% สำหรับทั้งปีนี้และปีหน้า โดยมีสาเหตุหลักจากผลของ ภาษีศุลกากร 145% ที่สหรัฐเรียกเก็บอย่างต่อเนื่อง
ประเทศไทยได้รับผลกระทบหนักที่สุดในอาเซียน โดย IMF ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของไทยลงเหลือ 1.8% จากเดิมที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 2.9% ในเดือนมกราคม นับเป็นประเทศเดียวที่การเติบโตถูกหั่นลงต่ำกว่า 2% ซึ่งสะท้อนความเปราะบางของเศรษฐกิจไทยท่ามกลางแรงกดดันภายนอก
สำหรับ เวียดนาม ซึ่งเป็นอีกหนึ่งประเทศในภูมิภาคที่พึ่งพาการส่งออก ถูกปรับลดการเติบโตทางเศรษฐกิจลงจาก 6.1% เหลือ 5.2% และคาดว่าจะลดลงอีกในปีต่อไปเหลือ 4.0% ตามลำดับ
นอกจากนี้ IMF ยังเตือนว่า นโยบายภาษีของสหรัฐกำลังส่งผลต่อ ความผันผวนของค่าเงินและตลาดการเงินโลก โดยเฉพาะแนวโน้มที่ เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงในระยะกลาง จากการที่ตลาดโลกลดความต้องการถือครองดอลลาร์ ท่ามกลางความไม่แน่นอนด้านการค้าระหว่างประเทศ และการลดลงของผลิตภาพภายในสหรัฐ
ท้ายที่สุด IMF เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการฟื้นฟูนโยบายการค้าแบบพหุภาคี พร้อมเรียกร้องให้ประเทศต่างๆ ร่วมมือกันเพื่อลดมาตรการกีดกันทางการค้า ไม่ว่าจะเป็นด้านภาษีหรือมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี เพื่อเสริมสร้างเสถียรภาพแก่ระบบเศรษฐกิจโลกในระยะยาว
ข้อมูล : prachachat