จีนแข่งเดือดตลาดรถ EV ผู้เล่นรอดจริงมีไม่ถึงสิบราย

เมื่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของจีนกำลังเดินหน้าด้วยความเร็วสูงและนวัตกรรมล้ำสมัย ความท้าทายใหญ่คือ “จะทำกำไรได้อย่างไร” ในสนามแข่งขันที่มีผู้เล่นเกือบ 200 ราย แต่มีเพียงไม่กี่รายเท่านั้นที่อยู่รอดได้จริง

22 เมษายน ท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามเย็นเหนืออ่าววิกตอเรียของฮ่องกง Xpeng ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชื่อดังจากจีน ได้จัดแสดง X9 รถมินิแวนอัจฉริยะที่มาพร้อมฟังก์ชันขับขี่อัตโนมัติ หน้าจอสำหรับผู้โดยสารหลัง และตู้เย็นในตัว เปิดตัวอย่างหรูหราก่อนงาน Shanghai Auto Show สัปดาห์นี้ ด้วยราคาเริ่มต้นที่ 359,800 หยวน (ราว 49,000 ดอลลาร์สหรัฐ)

แม้จะยังไม่สามารถทำกำไรได้ตั้งแต่เริ่มผลิตรถคันแรกในปี 2018 แต่ He Xiaopeng ซีอีโอของ Xpeng และ Brian Gu ประธานบริษัท ก็ยังคงมั่นใจในอนาคต พร้อมประกาศวิสัยทัศน์ก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้รอดชีวิตไม่กี่รายจากตลาดที่มีการแข่งขันสูงที่สุดในโลก พวกเขากำลังผลักดันการขยายตลาดทั่วโลก พัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในองค์กร และมุ่งเป้าไปสู่การผลิต รถแท็กซี่อัตโนมัติ และ หุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ เหมือนที่ Tesla กำลังทำอยู่

แม้ได้รับเงินลงทุนจาก Volkswagen และยอดขายที่เติบโตต่อเนื่อง แต่ Xpeng และผู้ผลิตรถ EV จีนอีกหลายรายกลับยังไม่สามารถทำกำไรได้ เนื่องจากต้องแบกรับต้นทุนการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ขณะที่ราคาขายในตลาดยังต่ำเตี้ยติดดินจนไม่เปิดโอกาสให้มีกำไรมากนัก

สงครามราคาที่แลกมาด้วยนวัตกรรม และการขยายตลาดนอกประเทศ

การแข่งขันที่รุนแรงทำให้ในปี 2023 มีถึง 86 แบรนด์ที่ผลิตรถ EV รวมกัน 327 รุ่น ไม่รวมไฮบริด โดยมีเพียง 14 รายที่ครองส่วนแบ่งตลาดเกิน 2% สะท้อนให้เห็นถึงภาพรวมของตลาดที่ “แน่นเกินไป” และยังขาดความสามารถในการทำกำไรอย่างยั่งยืน

Brian Gu ยอมรับว่า “สุดท้ายจะมีเพียง 10 รายเท่านั้นที่อยู่รอด” และชี้ว่าอุตสาหกรรมนี้กำลังเปลี่ยนผ่านจากยุคของ การใช้ไฟฟ้า (electrification) ไปสู่ ความอัจฉริยะ (smartification) ที่แข่งกันด้วย AI และระบบขับขี่อัตโนมัติ ไม่ใช่แค่ฮาร์ดแวร์อย่างที่ผ่านมา

เพื่อรับมือกับแรงกดดันด้านต้นทุน Xpeng วางแผนบุกตลาดต่างประเทศ โดยตั้งเป้าขยายสู่ 30 ประเทศในปี 2025 เพิ่มจาก 30 ประเทศที่เปิดตลาดไปแล้วในปี 2024 โดยจะเน้น ยุโรป เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออกกลาง และละตินอเมริกา ซึ่งมีอำนาจในการตั้งราคาได้มากกว่าตลาดจีน

สหรัฐอเมริกา ถูกตัดออกจากแผนการขยายตัวเนื่องจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ โดยเฉพาะในยุคของ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีนโยบายกีดกันการนำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วนจากจีนอย่างเข้มงวด

ใครอยู่รอดได้บ้างในสงคราม EV

ผู้เล่นไม่กี่รายที่สามารถทำกำไรได้ในตลาดนี้ ได้แก่ BYD ซึ่งมียอดขายกว่า 4.2 ล้านคันทั่วโลกในปีที่แล้ว และเป็นบริษัทที่มีการผลิตชิ้นส่วนในเครือของตัวเองเกือบทั้งหมด ทำให้ลดต้นทุนและเพิ่มกำไรได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทำกำไรสูงถึง 5.5 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 จากรายได้ 107 พันล้านดอลลาร์

ขณะที่ Tesla ทำรายได้ใกล้เคียงกันแต่กำไรสุทธิสูงกว่าที่ 7 พันล้านดอลลาร์

ผู้เล่นรายอื่นอย่าง Chery, Geely, Leapmotor และ Li Auto ก็เริ่มมีกำไรจากกลยุทธ์ที่ต่างกันออกไป Li Auto เจาะตลาดพรีเมียมด้วยรถไฮบริดแบบขยายระยะทาง ส่วน Leapmotor เจาะตลาดรถราคาประหยัดและควบคุมต้นทุนผ่านการรวมสายการผลิต

สำหรับ Xpeng แม้ยังไม่ทำกำไรแต่ก็เริ่มเห็นทิศทางบวก โดยในปี 2023 มียอดขายกว่า 190,000 คัน และตั้งเป้าว่าจะทำกำไรได้ภายในปีนี้

การมาถึงของ รถบินได้ต้นแบบ และ ชิป AI ที่พัฒนาเอง สะท้อนให้เห็นว่า Xpeng กำลังแสดงจุดยืนว่า “เป็นบริษัทเทคโนโลยีเต็มตัว” ไม่ใช่แค่ผู้ผลิตรถยนต์ และนั่นอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดว่าใครจะอยู่รอดในสนามแข่งขันที่แทบไม่เปิดพื้นที่ให้กับผู้เล่นที่ไม่แข็งแกร่งพอ

ข้อมูล / ภาพ : reuters