เศรษฐีจีน เมียนมา รัสเซีย แห่ย้ายสินทรัพย์มาไทย ดันตลาดคอนโดหรูคึกคัก

ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไทยเร่งปั้นโครงการระดับไฮเอนด์ รับกระแสเศรษฐีต่างชาติหลั่งไหล ตั้งเป้าฟื้นตลาดอสังหาฯ หลังยอดขายบ้านราคากลางตกต่ำต่อเนื่อง

กระแสการย้ายถิ่นฐานของกลุ่มเศรษฐีจากจีน เมียนมา และรัสเซีย มายังประเทศไทย กำลังสร้างแรงกระเพื่อมต่อเนื่องในตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมหรูและบ้านระดับอัลตร้าลักชัวรี่ ส่งผลให้ผู้พัฒนาอสังหาฯ รายใหญ่ของไทย เช่น ไรมอนแลนด์ และแสนสิริ หันมาทุ่มทุนจับกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่มีฐานะอย่างจริงจัง เพื่อชดเชยผลกระทบจากภาวะชะลอตัวของตลาดภายในประเทศ

ไรมอนแลนด์ เปิดตัวโครงการ “THE 528 ESTATE” คฤหาสน์ระดับอัลตร้าลักชัวรี่ 4 หลัง มูลค่ารวมกว่า 4,000 ล้านบาท ตั้งอยู่ในย่านสุขุมวิท ใกล้สถานี BTS พร้อมพงษ์ ใช้พื้นที่มากกว่า 780 ตารางเมตรต่อหลัง ราคายูนิตเริ่มต้นที่ 880 ล้านบาท มีกำหนดแล้วเสร็จต้นปี 2570 พร้อมแผนลงทุนรวม 11,000 ล้านบาทในช่วง 3 ปีนี้

แสนสิริ เองก็ไม่น้อยหน้า เตรียมเปิดโครงการระดับไฮเอนด์ มูลค่ารวม 19,000 ล้านบาท ภายในสิ้นปี 2568 มากกว่าปี 2567 ถึง 2 เท่า โดยเริ่มเปิดขายแล้วบางส่วนภายใต้แบรนด์ “นาราสิริ” และ Sansiri Luxury Collection ที่เน้นลูกค้าระดับบน

กลุ่มทุนญี่ปุ่นเองก็เริ่มขยับเข้าสู่ตลาดไทย โดย มิตซุย ฟูโดซัง จับมือแสนสิริพัฒนาโครงการแนวราบหรู ส่วน มิตซูบิชิ เอสเตท ร่วมมือกับเอพี (ไทยแลนด์) และ โนมูระ เรียลเอสเตท จับมือกับออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ร่วมพัฒนาโครงการหรูเจาะกลุ่มชาวต่างชาติ

ข้อมูลจากกรมที่ดินระบุว่า ปีที่ผ่านมา ชาวต่างชาติซื้อคอนโดในไทยถึง 14,753 ยูนิต เพิ่มขึ้น 26% จากปี 2565 โดย ชาวจีน เป็นกลุ่มหลักที่ซื้อถึง 5,670 ราย ตามด้วยชาวรัสเซียและเมียนมา ซึ่งมีแนวโน้มย้ายถิ่นและกระจายความเสี่ยงทางการเงินมายังไทย ท่ามกลางภาวะการเมืองไม่แน่นอนในประเทศต้นทาง

ความเคลื่อนไหวในตลาดลักชัวรี่ไม่หยุดแค่ผู้พัฒนาไทย ยังมีแบรนด์หรูระดับโลกเข้าร่วม เช่น Aman Group ที่เตรียมเปิดคอนโดมิเนียมหรูในกรุงเทพฯ และ Porsche Design Tower Bangkok โครงการแรกของปอร์เช่ในเอเชีย ที่เลือกกรุงเทพฯ เป็นทำเลสำคัญ

ข้อมูลจาก C9 Hotelworks ระบุว่า ไทยมีมูลค่าตลาดอสังหาฯ แบรนด์เนมสูงสุดในเอเชียถึง 6.2 หมื่นล้านดอลลาร์ (ข้อมูลสิ้นปี 2024) สวนทางกับตลาดทั่วไปที่ยังซบเซา โดยธนาคารอาคารสงเคราะห์รายงานว่า ยอดขายบ้านไทยปี 2024 ลดลง 5% เหลือ 348,000 ยูนิต โดยกลุ่มบ้านราคา 3–5 ล้านบาทได้รับผลกระทบหนักสุด

ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่แตะ 90% ของ GDP และข้อจำกัดการเข้าถึงสินเชื่อ ทำให้ประชากรไทยกว่า 40% ไม่สามารถขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยได้ ส่งผลให้แสนสิริมียอดรายได้เติบโตเพียง 2% และกำไรลดลง 13% ในปี 2567 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

แม้ตลาดหรูจะคึกคัก แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ความร้อนแรงของการลงทุนโดยเศรษฐีต่างชาติอาจก่อให้เกิด “ฟองสบู่” ในภาคอสังหาริมทรัพย์ หากไม่ได้รับการควบคุมอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ เช่นเหตุแผ่นดินไหวเดือนมีนาคม 2568 ที่กระทบต่ออาคารสูงในกรุงเทพฯ ซึ่งอาจทำให้ผู้ซื้อชะลอการลงทุน

ยูจิ คาโตะ นักวิเคราะห์จากสถาบันวิจัยโนมูระ ประเทศไทย ระบุว่า “ผู้คนเริ่มใส่ใจเรื่องความเสี่ยงจากแผ่นดินไหวมากขึ้น” ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่นักพัฒนาอสังหาฯ ต้องพิจารณาควบคู่กับกลยุทธ์การตลาดสำหรับกลุ่มลูกค้าต่างชาติ

ข้อมูล : thestandard