สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เผยเงินเฟ้อเดือนมีนาคม 2568 อยู่ที่ 0.84% ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ จากผลของราคาน้ำมันที่ลดลงและมาตรการดูแลค่าครองชีพของภาครัฐ คาดว่าไตรมาส 2 จะยังต่ำกว่า 1% ขณะเดียวกันต้องจับตาผลกระทบนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ที่อาจส่งแรงกดดันต่อเงินเฟ้อไทยในระยะข้างหน้า
สถานการณ์เงินเฟ้อของไทยในช่วงต้นปี 2568 อยู่ในระดับต่ำกว่าคาดการณ์ โดยมีตัวเลขเดือนมีนาคมอยู่ที่ 0.84% และเฉลี่ยในไตรมาสแรกอยู่ที่ 1.08% ซึ่งถือว่าต่ำกว่ากรอบคาดการณ์เดิมอย่างชัดเจน โดย นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำคือ ราคาพลังงานที่ปรับลดลง และผลของมาตรการดูแลค่าครองชีพที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่องภายใต้นโยบายของ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
มาตรการของรัฐบาลที่เน้นการดูแลราคาสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวัน การติดตามสถานการณ์สินค้าอย่างใกล้ชิด และการควบคุมต้นทุนผู้บริโภค มีส่วนช่วยลดแรงกดดันด้านราคาลงอย่างชัดเจน ทั้งนี้ สนค.เน้นย้ำว่า เงินเฟ้อที่ลดลงในปัจจุบัน ไม่ใช่สัญญาณสะท้อนภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และยังไม่ส่งผลกระทบต่อรายได้หรือกำลังซื้อของประชาชนแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม แม้ภาพรวมเงินเฟ้อในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ยังคาดว่าจะต่ำกว่า 1% อย่างต่อเนื่อง และอาจต่ำกว่ากรอบเป้าหมายทั้งปีซึ่งอยู่ที่ 0.3-1.3% (ค่ากลาง 0.8%) แต่สนค.ยังคงเฝ้าระวังผลกระทบในอนาคตจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ โดยเฉพาะ มาตรการกำแพงภาษี ที่อาจมีผลต่อห่วงโซ่อุปทานการค้าระหว่างประเทศและราคาสินค้าในตลาดโลก
ความเคลื่อนไหวล่าสุดของสหรัฐฯ มีการแสดงความยืดหยุ่น เช่น การเลื่อนบังคับใช้ภาษีออกไปอีก 90 วัน รวมถึงการยกเว้นภาษีบางรายการ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อแนวโน้มเงินเฟ้อในภูมิภาค อย่างไรก็ดี สนค.ระบุว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องใช้โอกาสนี้ในการเจรจาสร้างความสมดุลใหม่ในการค้ากับสหรัฐฯ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระยะยาว
จากการประเมินเบื้องต้นของสนค. ระบุว่า ไม่ต่ำกว่า 50% ของสินค้าในตะกร้าเงินเฟ้อ อาจได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ผ่าน 3 ช่องทางหลัก ได้แก่
หนึ่ง คือ การแข่งขันในประเทศที่รุนแรงขึ้น เนื่องจากผู้ส่งออกอาจนำสินค้าที่ไม่สามารถส่งออกไปยังสหรัฐฯ ได้ กลับมาจำหน่ายภายในประเทศแทน
สอง คือ การกระจายสินค้าสู่ตลาดใหม่โดยประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ (Export Diversification) ที่อาจทำให้ไทยต้องเผชิญกับการนำเข้าสินค้าราคาถูกมากขึ้น
และสาม คือ เศรษฐกิจโลกที่เติบโตต่ำกว่าคาด ส่งผลกระทบต่อภาคส่งออกของไทยที่พึ่งพิงอุปสงค์จากต่างประเทศ ซึ่งอาจเชื่อมโยงกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง เช่น ราคาน้ำมันและสินค้าเกษตร
การเฝ้าระวังนโยบายภาษีของสหรัฐฯ จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจกำหนดทิศทางของเงินเฟ้อไทยในช่วงครึ่งหลังของปี โดยเฉพาะเมื่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลกยังเผชิญความไม่แน่นอนสูง ทั้งในด้านการค้าและภูมิรัฐศาสตร์
ข้อมูล : mgronline