นักวิชาการ มธ. เตือนเศรษฐกิจไทยปี 68 เสี่ยงโตต่ำ 2% จี้รัฐเดินเกมรุกสู้สงครามการค้าทรัมป์

นักเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ชี้เศรษฐกิจไทยปี 2568 อาจเติบโตไม่ถึง 2% ท่ามกลางแรงกดดันจากนโยบายเศรษฐกิจแนวชาตินิยมของทรัมป์ ที่นำไปสู่สงครามการค้าโลกซ้ำรอยเดิม แนะรัฐบาลไทยต้องเร่งปรับยุทธศาสตร์เชิงรุกทั้งการเจรจาการค้า ขยายตลาดใหม่ และยกระดับภาคการผลิตในประเทศ เพื่อลดความเปราะบางจากภายนอก


สงครามการค้ารอบใหม่: ผลพวงจากทรัมป์รีเทิร์น

รศ.ดร.จุฑาทิพย์ จงวนิชย์ จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่า หากโดนัลด์ ทรัมป์กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ หลังการเลือกตั้งปลายปี 2568 ตามที่สัญญาณทางการเมืองสะท้อนขณะนี้ นโยบาย “America First” จะกลับมาอย่างเข้มข้นยิ่งขึ้น โดยเฉพาะมาตรการ Baseline Tariff 10% และ Reciprocal Tariff สูงสุด 36% สำหรับสินค้านำเข้าจากประเทศที่สหรัฐฯ มองว่า “ไม่เป็นธรรมในการค้าการลงทุน”

แม้มาตรการนี้มุ่งเป้าไปยังจีนเป็นหลัก แต่ประเทศคู่ค้ารายสำคัญของสหรัฐฯ อย่างไทยก็เลี่ยงผลกระทบโดยตรงได้ยาก โดยเฉพาะสินค้าที่เข้าข่ายแข่งขันสูง เช่น

  • อิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์
  • อาหารแปรรูปและเกษตรแปรรูป
  • ยางพารา และข้าว

ส่งออกของไทยในกลุ่มสินค้าเหล่านี้มีมูลค่ารวมกันกว่า 35% ของการส่งออกทั้งหมด โดยมีสหรัฐฯ เป็นตลาดหลักอันดับ 2 รองจากจีน


เศรษฐกิจไทย: เปราะบางต่อแรงกระแทกจากภายนอก

เศรษฐกิจไทยพึ่งพาการส่งออกคิดเป็นสัดส่วนราว 60% ของ GDP โดยในภาวะโลกปกติ การเติบโตของเศรษฐกิจโลกมักหนุนให้การส่งออกไทยขยายตัวตาม แต่เมื่อเกิดแรงกระแทกเชิงโครงสร้าง เช่น ภาษีศุลกากร การกีดกันการค้า หรือการปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ กลับยิ่งซ้ำเติมภาคการผลิตในประเทศ

ข้อมูลจากศูนย์วิจัยเศรษฐกิจธรรมศาสตร์ชี้ว่า การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 อาจลดลงเหลือเพียง 1.8–2.0% หากไม่มีมาตรการเร่งรัดจากภาครัฐ สวนทางกับค่าเฉลี่ยการเติบโตในระดับ 3% ที่เคยเป็นฐานในช่วงก่อนโควิด-19


ไทยต้องเปลี่ยนเกม: 4 ยุทธศาสตร์สู้สงครามการค้า

เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญภาวะ “ฟื้นตัวแบบถดถอย” นักวิชาการเสนอแนวทางเชิงรุก 4 ด้าน ดังนี้:

  1. เจรจาการค้ากับสหรัฐฯ อย่างมียุทธศาสตร์
    เปิดให้ไทยสามารถเจรจาแบบ “แลกเปลี่ยนผลประโยชน์” ด้วยการยอมเปิดนำเข้าสินค้าที่ไทยมีศักยภาพแข่งขันต่ำ เพื่อรักษาสินค้าส่งออกหลักให้คงอยู่ในสหรัฐฯ ได้
  2. ใช้นโยบายการคลัง-การเงินเชิงรุก
    เร่งเบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายภายใน พร้อมสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้ SME และภาคการผลิต
  3. ยกระดับความสามารถในการแข่งขัน
    โดยเฉพาะภาคเกษตร-อาหาร ผ่านการใช้เทคโนโลยี IoT, AI และ blockchain เพื่อควบคุมต้นทุน เพิ่มคุณภาพ และรองรับมาตรฐานส่งออกที่สูงขึ้น
  4. กระจายตลาดส่งออกใหม่
    มุ่งเน้นประเทศในอาเซียน เอเชียใต้ แอฟริกา และกลุ่ม FTA อย่าง CPTPP หรือ EFTA แทนการพึ่งพาสหรัฐฯ และจีนเป็นหลัก
ไทยต้องเปลี่ยนเกม 4 ยุทธศาสตร์สู้สงครามการค้า

ความเสี่ยงทับซ้อน: สินค้าจีนทะลักเข้าตลาดไทย

อีกหนึ่งผลกระทบจากภาษีสูงของสหรัฐฯ คือ สินค้าจากจีนอาจหันมาทะลักเข้าสู่ตลาดเอเชียมากขึ้น โดยเฉพาะในประเทศที่ยังไม่มีมาตรการป้องกันที่เข้มงวด เช่น ไทย
การไหลบ่าของสินค้าราคาถูกจากจีน เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า ของเล่น สิ่งทอ ฯลฯ อาจสร้างแรงกดดันให้กับผู้ผลิตไทย โดยเฉพาะ SME ซึ่งยังขาดการปรับตัวด้านเทคโนโลยีและต้นทุน


เปิดทางลงทุนใหม่: เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส

แม้สงครามการค้าอาจฉุดการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) ให้ชะลอตัว แต่ไทยยังสามารถพลิกเกมให้เป็น “ฐานการผลิตใหม่” ได้ หากรัฐเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น

  • รถไฟรางคู่
  • ท่าเรือน้ำลึก
  • เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน

พร้อมกับปรับบทบาทของ BOI (สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน) ให้เป็นศูนย์กลางการบริการ One Stop Service ดึงนักลงทุนที่ต้องการหนีความไม่แน่นอนจากจีน-สหรัฐฯ ให้เลือกไทยเป็นจุดหมายปลายทางใหม่


จีดีพีไทยปี 68 เสี่ยง “โตต่ำแต่ไม่ถดถอย” หากไร้มาตรการเชิงรุก

นักวิชาการธรรมศาสตร์เตือนว่า หากไม่เร่งเดินเกมเชิงรุกภายในกลางปี 2568 เศรษฐกิจไทยอาจเข้าสู่ภาวะโตต่ำต่อเนื่อง หรือ “ภาวะเศรษฐกิจฟื้นแบบแบนราบ (flat recovery)”
การเติบโตต่ำกว่า 2% แม้ไม่ถึงขั้นถดถอย แต่สะท้อนว่าไทยกำลังสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก จึงถึงเวลาที่รัฐบาลต้อง “เปลี่ยนวิธีคิด” จากรับมือแบบตั้งรับ มาเป็น “รุกลึก เชื่อมโยง เชิงกลยุทธ์”


ข้อมูล : nationtv