สหรัฐฯ เดินหน้าสงครามการค้าอีกระลอก หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ สั่งขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็น 104% มีผล 10 เมษายนนี้ เหตุจีนปฏิเสธยกเลิกมาตรการภาษีตอบโต้ ขณะจีนประกาศเตรียมตอบโต้กลับ ส่งสัญญาณความตึงเครียดทางเศรษฐกิจที่อาจลุกลามไปยังหลายอุตสาหกรรมทั่วโลก
ในวันที่ 10 เมษายน 2568 เวลา 00.01 น. ตามเวลาท้องถิ่นของสหรัฐฯ (11.01 น. ตามเวลาในประเทศไทย) สหรัฐอเมริกาจะเริ่มต้นใช้มาตรการ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศจีน เป็นอัตราใหม่ที่ 104% หลังจากที่จีนปฏิเสธข้อเสนอของ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ให้ยุติการเก็บภาษีตอบโต้สินค้าสหรัฐฯ ในอัตรา 34% ภายในกรอบเวลาที่กำหนด
แคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว เปิดเผยว่า การตัดสินใจครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อกดดันให้จีนกลับเข้าสู่โต๊ะเจรจา โดยเชื่อมั่นว่าจีนไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบทางเศรษฐกิจได้ พร้อมย้ำว่า ทรัมป์ จะไม่ยอมอ่อนข้อในประเด็นภาษีเด็ดขาด
อย่างไรก็ตาม ท่าทีจาก กระทรวงพาณิชย์ของจีน สะท้อนความไม่พอใจอย่างชัดเจน โดยระบุว่ามาตรการของสหรัฐฯ เป็นการ “ทำผิดซ้ำรอยเดิม” และยืนยันว่าจีนจะมี มาตรการตอบโต้ ที่ “เหมาะสมและเด็ดขาด” ต่อสินค้าจากสหรัฐฯ ทันที
ด้าน สกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ แสดงความเห็นว่าจีนกำลังเสี่ยงกับ “ความผิดพลาดทางยุทธศาสตร์” หากยังเลือกตอบโต้ทุกครั้งที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษี โดยเตือนว่า การยกระดับข้อพิพาทครั้งนี้จะทำให้จีนเสียเปรียบในเวทีเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และย้ำว่าจุดมุ่งหมายของ รัฐบาลทรัมป์ คือ “การดึงการจ้างงานกลับเข้าสู่ประเทศ”
ข้อมูลทางเศรษฐกิจระบุว่า ประเทศจีนเป็นแหล่งนำเข้าสินค้าใหญ่อันดับ 2 ของสหรัฐฯ ด้วยมูลค่าการนำเข้าในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 439,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 15 ล้านล้านบาท ขณะที่จีนนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เป็นมูลค่า 144,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 5 ล้านล้านบาท
ที่ผ่านมา แม้มาตรการภาษีจะผลักดันให้บริษัทอเมริกันบางแห่งย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่น เช่น เม็กซิโกและเวียดนาม แต่จีนยังคงเป็นแหล่งผลิตและส่งออกสำคัญในหลายหมวดสินค้า โดยเฉพาะ สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งความเปลี่ยนแปลงในภาษีนำเข้าอาจส่งผลให้ราคาสินค้าเหล่านี้ในตลาดสหรัฐฯ และทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้นอย่างชัดเจนในระยะอันใกล้
นอกจากจีนแล้ว ยังมี อีกกว่า 60 ประเทศ ที่ต้องเผชิญกับ มาตรการกำแพงภาษี รอบใหม่ของรัฐบาลสหรัฐฯ ตั้งแต่วันที่ 10 เมษายนเป็นต้นไป โดยหนึ่งในนั้นคือ ประเทศไทย ที่จะถูกเรียกเก็บภาษีในอัตรา 36% ซึ่งอาจกระทบต่อภาคการส่งออกในหลายกลุ่มสินค้า
ข้อมูลจากอดีตระบุว่าเมื่อสิ้นสุดวาระแรกของ ทรัมป์ สหรัฐฯ เคยตั้งภาษีนำเข้าสินค้าจีนเฉลี่ยอยู่ที่ 19.3% และต่อมาในยุค โจ ไบเดน มีการปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 20.8% ซึ่งถือว่ายังห่างจากระดับ 104% ที่กำลังจะบังคับใช้
ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสองมหาอำนาจในครั้งนี้กำลังกลายเป็นประเด็นร้อนระดับโลกอีกครั้ง ซึ่งไม่เพียงแต่จะสั่นคลอนซัพพลายเชนของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี แต่ยังอาจส่งผลเป็นลูกโซ่ต่อ ตลาดแรงงาน การจ้างงาน และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในวงกว้าง
ข้อมูล : pptvhd36