ภาษีทรัมป์เขย่าเอเชีย หุ้นร่วงทั่วภูมิภาค นักลงทุนผวา

วันที่ 7 เมษายน 2568 ตลาดหุ้นทั่วเอเชียเผชิญแรงเทขายอย่างรุนแรง หลัง ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษีสินค้าจากจีนร้อยละ 34 เมื่อวันที่ 5 เมษายนที่ผ่านมา จุดชนวนสงครามการค้าเต็มรูปแบบ จีนตอบโต้ทันควัน ด้วยการขึ้นภาษีเท่ากัน ส่งผลให้ดัชนีหุ้นสำคัญใน ญี่ปุ่น จีน ฮ่องกง ไต้หวัน และ ออสเตรเลีย ร่วงระนาว นักลงทุนทั่วโลกตื่นตระหนก ขายสินทรัพย์ทุกประเภท แม้แต่ทองคำและน้ำมัน ขณะที่ประเทศไทยเสี่ยงได้รับผลกระทบทางอ้อมจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่กำลังสั่นคลอน

เมื่อ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จุดชนวนสงครามการค้าอีกครั้งด้วยการประกาศขึ้นภาษีสินค้าจีนร้อยละ 34 ซึ่งเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน 2568 พร้อมเตรียมขึ้นภาษีเพิ่มเติมในวันที่ 9 เมษายน รวมถึงตั้งภาษีใหม่กับญี่ปุ่นร้อยละ 24 ความเคลื่อนไหวนี้สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วภูมิภาคเอเชียและตลาดโลก

จีน ไม่รอช้า ตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ ในอัตราเดียวกัน จุดชนวนความขัดแย้งทางเศรษฐกิจระดับโลกให้รุนแรงยิ่งขึ้น กลายเป็นพายุภาษีที่พัดถล่มดัชนีหุ้นเอเชียแทบทุกแห่ง

ตลาดหุ้น ญี่ปุ่น เปิดตลาดวันจันทร์ด้วยดัชนี Nikkei ที่ร่วงลงทันทีถึงร้อยละ 8 ก่อนจะฟื้นตัวเล็กน้อยและปิดตลาดที่ลดลงร้อยละ 6.5 ขณะที่ดัชนี Topix ตกลงเท่ากัน ในฝั่ง จีน ดัชนี Shanghai Composite ร่วงร้อยละ 6.7 ส่วน CSI300 ซึ่งเป็นกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ลดลงถึงร้อยละ 7.5

ที่ ฮ่องกง นักลงทุนเทขายหุ้นอย่างหนัก จนดัชนี Hang Seng ร่วงลงร้อยละ 12 หุ้นเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Alibaba และ Tencent ร่วงร้อยละ 14 และร้อยละ 10 ตามลำดับ แสดงถึงความตื่นตระหนกที่ปะทุขึ้นอย่างรวดเร็ว

ไต้หวัน เผชิญกับภาวะเลวร้ายไม่ต่างกัน ดัชนี Taiex ลดลงร้อยละ 9.7 ขณะที่หุ้นของ TSMC และ Foxconn ร่วงลงร้อยละ 10 จนตลาดต้องใช้ระบบ Circuit Breaker เพื่อหยุดการซื้อขายชั่วคราว

ตลาดหุ้นใน ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์ ก็ไม่รอด ดัชนี ASX 200 ลดลงร้อยละ 6.3 ขณะที่ NZX 50 ของนิวซีแลนด์ปิดที่ติดลบร้อยละ 3.7 เกาหลีใต้ ต้องสั่งหยุดซื้อขายชั่วคราว 5 นาทีเมื่อดัชนี Kospi ร่วงร้อยละ 4.8


พายุภาษีที่ถล่มสินค้าสำคัญของเอเชีย

สงครามภาษีครั้งใหม่นี้กระทบสินค้าหลักของเอเชียโดยตรง ไม่ว่าจะเป็น ชิปคอมพิวเตอร์, รถยนต์ไฟฟ้า (EV) หรือ สินค้าอุตสาหกรรมส่งออก ที่ถือเป็นเสาหลักทางเศรษฐกิจ

นักวิเคราะห์จาก Pepperstone ชี้ว่าการขึ้นภาษีต่อจีนเป็นการโจมตี “จุดตาย” ทางเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้ เพราะสินค้าส่งออกประเภท เซมิคอนดักเตอร์และยานยนต์ จะเป็นกลุ่มที่รับผลกระทบหนักที่สุด

บรรยากาศการซื้อขายใน ฮ่องกง สะท้อนความหวาดกลัวได้ชัดเจน นักลงทุนขายหุ้นทิ้งอย่างไม่สนราคา เป็นสัญญาณว่าแรงกดดันนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแบบชั่วคราว


ตลาดโลกผันผวน สหรัฐฯ ก็ไม่รอด

ไม่ใช่แค่เอเชียเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ สหรัฐอเมริกาเอง ก็เริ่มแสดงอาการชัดเจน ตลาดหุ้น Wall Street ร่วงแรงเมื่อวันที่ 4 เมษายน และหุ้นล่วงหน้าในวันที่ 6 เมษายนยังตกลงอย่างต่อเนื่อง

ในเวลาเพียง 2 วัน มูลค่าหุ้นในตลาดสหรัฐฯ หายไปกว่า 5.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และหากดัชนี S&P 500 ตกลงต่ำกว่าร้อยละ 20 จากจุดสูงสุด ตลาดจะเข้าสู่สภาวะ ตลาดหมี (Bear Market) ซึ่งสะท้อนถึงความกลัวว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างชัดเจน

แม้แต่ สินทรัพย์ปลอดภัย อย่าง ทองคำ ยังถูกเทขาย ราคาลดลงร้อยละ 4 เหลือเพียง 3,030 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนน้ำมันดิบ Brent และ WTI ลดลงร้อยละ 2.4 และ 2.5 ตามลำดับ จากความกังวลว่าเศรษฐกิจโลกชะลอตัวจะทำให้ความต้องการพลังงานลดลง


ทรัมป์ย้ำ “ไม่ได้ตั้งใจทำตลาดพัง”

ในการให้สัมภาษณ์บนเครื่องบิน Air Force One เมื่อวันที่ 6 เมษายน โดนัลด์ ทรัมป์ ยืนยันว่าไม่ได้ตั้งใจทำให้ตลาดพัง แต่จะเดินหน้ามาตรการภาษีต่อไป เพราะเชื่อว่าจะทำให้ประเทศ “แข็งแกร่งขึ้น”

ทรัมป์เปิดเผยว่าได้พูดคุยกับ ผู้นำโลก และ ผู้บริหารเทคโนโลยี หลายรายในช่วงสุดสัปดาห์ แต่ยังยืนยันว่าจีนต้องลดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ โดยระบุว่าปีที่แล้วสหรัฐฯ นำเข้าจากจีน 438,900 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ส่งออกเพียง 143,500 ล้านดอลลาร์


เอเชียตอบโต้ด้วยท่าทีแข็งกร้าว

ชิเงรุ อิชิบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นกล่าวในสภาว่า เตรียมเดินทางเยือนสหรัฐฯ เพื่อขอให้ยกเลิกภาษี พร้อมยืนยันว่า ญี่ปุ่นไม่ได้ทำอะไรไม่เป็นธรรม ส่วน ประธานาธิบดีไต้หวัน ไล่ ชิง-เต๋อ เตรียมเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อยกเลิกภาษีและเสนอซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ เพิ่มเติม เพื่อลดการขาดดุล

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์จาก Barclays เตือนว่าความพยายามของประเทศเอเชียในการเจรจาอาจไม่ได้ผล และสถานการณ์อาจยืดเยื้อ ส่งผลให้สถาบันการเงินเริ่มปรับลดประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาค


ผลกระทบที่ไทยต้องเฝ้าระวัง

แม้ไทยจะยังไม่ถูกตั้งภาษีโดยตรง แต่การพึ่งพาการส่งออกไปยัง สหรัฐฯ และจีน ทำให้ความเสี่ยงอยู่ในระดับสูง หากสงครามการค้ายืดเยื้อ อุตสาหกรรมหลักของไทยอย่าง ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าเกษตร อาจได้รับผลกระทบโดยตรง

รัฐบาลไทยอาจต้องพิจารณาแนวทาง เจรจาการค้าใหม่ ๆ และหา ตลาดส่งออกทางเลือก พร้อมทั้งเร่งออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ เพื่อประคองเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะกลางถึงยาว

สำหรับนักลงทุนทั่วไป ควรระมัดระวังการลงทุนในหุ้นที่มีความเชื่อมโยงกับการค้าสหรัฐฯ และจีน และอาจพิจารณากระจายความเสี่ยงไปยัง พันธบัตรรัฐบาล หรือ สินค้าโภคภัณฑ์ ที่มีความผันผวนน้อยกว่าในช่วงวิกฤต

ข้อมูล : thaipbs