ม.หอการค้าไทยแถลงผลสำรวจสงกรานต์คาดเงินสะพัด 1.34 แสนล้านบาท พร้อมประเมินผลกระทบแผ่นดินไหวและมาตรการภาษีสหรัฐฯ

มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยได้จัดการแถลงข่าวเพื่อเปิดเผยผลสำรวจเกี่ยวกับเทศกาลสงกรานต์ที่จะมาถึง พร้อมทั้งประเมินผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม และมาตรการภาษีใหม่ของสหรัฐอเมริกาที่มีต่อเศรษฐกิจไทย การแถลงข่าวจัดขึ้นในห้องประชุมชั้นล่างของมหาวิทยาลัย เนื่องจากมีการงดกิจกรรมในอาคารสูงเพื่อความปลอดภัยหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว โดยมีผู้บริหารและคณาจารย์ของมหาวิทยาลัยร่วมให้ข้อมูลในประเด็นต่างๆ

สงกรานต์ปี 2568 คาดเงินสะพัด 1.34 แสนล้านบาท ขยายตัว 4.5% แม้มีปัจจัยแผ่นดินไหว

ผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนจำนวน 1,300 ตัวอย่างทั่วประเทศ พบว่า คนส่วนใหญ่วางแผนที่จะเดินทางและทำกิจกรรมในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยกิจกรรมยอดนิยมยังคงเป็นการเล่นน้ำสงกรานต์ รองลงมาคือการไปเยี่ยมญาติรดน้ำดำหัว ทำบุญไหว้พระ และจัดเลี้ยงสังสรรค์ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ถึง 69% ระบุว่าจะไปเล่นน้ำสงกรานต์ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen XYZ มีความต้องการไปเล่นน้ำสูง

แผนการใช้จ่ายในช่วงสงกรานต์ส่วนใหญ่เป็นการท่องเที่ยว (55.4%) และพักผ่อนอยู่บ้าน (25.5%) โดยมีแผนที่จะเดินทางประมาณ 2 คืน และใช้รถยนต์ส่วนตัวเป็นหลัก (64%) ช่วงเวลาเดินทางส่วนใหญ่อยู่ที่วันที่ 12 เมษายน และออกนอกพื้นที่ 4-5 วัน (ประมาณ 50%) จุดหมายปลายทางยอดนิยมยังคงเป็นภาคกลาง (ชลบุรี เพชรบุรี กาญจนบุรี) และภาคเหนือ (เชียงใหม่)

ค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยต่อคนในช่วงสงกรานต์คาดการณ์อยู่ที่ 7,656 บาท และมีบางส่วนที่วางแผนเดินทางไปต่างประเทศ โดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 31,875 บาทต่อคน ส่วนใหญ่เป็นประเทศในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น จีน เวียดนาม ฮ่องกง แผนการใช้จ่ายส่วนใหญ่ยังคงเหมือนเดิม แต่มีบางส่วนที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในหมวดสินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าคงทน สุรา การเดินทางกลับบ้านต่างจังหวัด และการท่องเที่ยวเพื่อความบันเทิง มูลค่าการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นผลมาจากราคาสินค้าที่แพงขึ้น วันหยุดยาว และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา บรรยากาศสงกรานต์ปีนี้คาดว่าจะคึกคักมากขึ้น (73% สนุกสนานเหมือนเดิม และ 22.8% คึกคักเพิ่มขึ้น) ความกังวลหลักในช่วงสงกรานต์ยังคงเป็นเรื่องอุบัติเหตุจากการเดินทางและการเล่นน้ำ ขโมยขึ้นบ้าน อาชญากรรม การลวนลามทางเพศ รถติด สินค้าราคาแพง และการสาดน้ำรุนแรง

มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยคาดการณ์ว่า เม็ดเงินสะพัดในช่วงสงกรานต์ปีนี้จะมีมูลค่า 134,631.73 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขยายตัว 4.5% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนี้ยังไม่รวมผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว เนื่องจากทำการสำรวจก่อนเกิดเหตุ แม้จะมีการขยายตัว แต่เม็ดเงินสะพัดนี้ยังต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด-19 ในปี 2562 อยู่ 0.89%

ผลสำรวจจากผู้ประกอบการ 850 ตัวอย่างทั่วประเทศ พบว่า ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าบรรยากาศสงกรานต์ปีนี้จะคึกคักกว่าปี 2567 (52%) และเตรียมพร้อมรับมือกับจำนวนลูกค้าที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นไม่เกิน 9% (33%) ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ในกรุงเทพฯ ภาคกลาง และภาคใต้ คาดว่าจะมีความคึกคักมากกว่าปีที่แล้ว ขณะที่ภาคอีสานและภาคเหนือคาดการณ์ว่าใกล้เคียงเดิม ความกังวลของผู้ประกอบการส่วนใหญ่คือเรื่องการจราจร ที่จอดรถ การจัดพนักงาน และการขาดแคลนวัตถุดิบ ข้อเสนอแนะส่วนใหญ่คือต้องการให้รัฐบาลสนับสนุนและกระตุ้นการท่องเที่ยว รวมถึงพิจารณามาตรการแจกเงินหรือสนับสนุนด้านสินเชื่อ

ผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวต่อพฤติกรรมประชาชนและการใช้จ่าย

หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยได้สำรวจเพิ่มเติมเกี่ยวกับพฤติกรรมของประชาชน พบว่า ส่วนใหญ่ (59.6%) ยังคงใช้ชีวิตตามปกติ แต่มี 37.1% ที่พยายามหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีความเสี่ยง และ 23.8% งดไปในอาคารสูง ด้านพฤติกรรมการใช้จ่าย ส่วนใหญ่ (74.5%) ยังคงใช้จ่ายเหมือนเดิม แต่มี 14.4% ที่ใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพื่อซื้อของกักตุน และ 11.1% ที่ใช้จ่ายลดลง

ความกังวลของประชาชนโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง โดยกังวลเรื่องแผ่นดินไหวมากที่สุด รองลงมาคือสงครามการค้าโลก และความกังวลในการไปใช้จ่ายในห้างสรรพสินค้า สำหรับแผนการใช้จ่ายในช่วงสงกรานต์หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว ส่วนใหญ่ (71.7%) ยังคงใช้จ่ายตามแผนเดิม แต่มี 17.1% ที่อาจจะใช้จ่ายมากขึ้น และ 11.2% ที่อาจจะใช้จ่ายลดลง กิจกรรมในช่วงสงกรานต์ส่วนใหญ่ (62.5%) ยังคงทำตามปกติ แต่มี 31% ที่อาจจะยกเลิกบางกิจกรรม โดยกิจกรรมที่อาจถูกยกเลิกมากที่สุดคือการไปในอาคารสูง รองลงมาคือการไปทะเลหรือภูเขา และบางส่วนงดเล่นน้ำสงกรานต์

ทัศนะของภาคเอกชนต่อผลกระทบจากแผ่นดินไหวโดยรวมมองว่ายังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในเรื่องยอดขาย การจองที่พัก และการใช้จ่าย แต่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล พบว่ามียอดจองที่พักและจำนวนคนที่มาเดินห้างลดลงค่อนข้างมาก รวมถึงการใช้จ่ายของประชาชนในพื้นที่ก็ลดลงในระดับหนึ่ง ภาคเอกชนในกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีความกังวลต่อสถานการณ์แผ่นดินไหวในระดับมาก ขณะที่ภาคเหนือมีความกังวลในระดับปานกลาง คาดการณ์ว่าสถานการณ์ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลจะกลับสู่ภาวะปกติภายใน 10 วัน ส่วนภาคเหนือและโดยรวมคาดการณ์ไว้ที่ประมาณ 5 วัน

ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเบื้องต้นคาดว่าจะอยู่ในช่วง 10,000 – 22,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นผลกระทบต่อ GDP ประมาณ 0.06% – 0.12% โดยหลักๆ จะมาจากผลกระทบต่อการบริโภคภายในประเทศและความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยวต่างชาติ อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่าผลกระทบต่อการบริโภคภายในประเทศจะมีจำกัดและฟื้นตัวได้เร็ว ส่วนผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวอาจอยู่ในระดับปานกลางและใช้เวลาฟื้นตัวนานกว่า ขึ้นอยู่กับการสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัย

ผลกระทบจากมาตรการภาษีใหม่ของสหรัฐอเมริกาต่อเศรษฐกิจไทย

มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยประเมินว่า มาตรการภาษีใหม่ของสหรัฐอเมริกา หรือ Reciprocal Tariff ที่ประกาศเมื่อเวลา 04:00 น. ที่ผ่านมา จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญ สหรัฐฯ ประเมินว่าไทยมีการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ โดยรวม 72% จึงได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยเพิ่มขึ้นประมาณ 36% ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม

คาดการณ์ว่าไทยจะได้รับผลกระทบทางตรงจากการส่งออกไปสหรัฐฯ ประมาณ 300,000 ล้านบาท โดยสินค้าหลักที่ได้รับผลกระทบคือ อุปกรณ์ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรกล อาหารแปรรูป และเครื่องดื่ม นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบทางอ้อมจากประเทศคู่ค้าอื่นๆ ที่ถูกสหรัฐฯ ขึ้นภาษีเช่นกัน เช่น จีน เม็กซิโก และแคนาดา ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อไทยอีกประมาณ 60,000 ล้านบาท

โดยรวมแล้ว มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยประเมินว่า ผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ทั้งทางตรงและทางอ้อม อาจมีมูลค่ารวมถึง 360,000 ล้านบาท และส่งผลกระทบต่อ GDP ของไทยประมาณ 1.93% เมื่อรวมกับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว คาดว่า GDP ของไทยอาจได้รับผลกระทบลบประมาณ 2.02% อย่างไรก็ตาม ทางมหาวิทยาลัยฯ มองว่าตัวเลข 36% อาจไม่ใช่ตัวเลขสุดท้าย และไทยยังมีโอกาสที่จะเจรจาต่อรองกับสหรัฐฯ เพื่อลดอัตราภาษีลงได้

แนวทางการรับมือและลดผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ

มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเสนอแนะแนวทางการรับมือและลดผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ หลายประการ เช่น:

  • ลดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ: อาจทำได้โดยการลดการส่งออกสินค้าบางประเภทและนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ มากขึ้น
  • กระจายตลาดส่งออก: ลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ และขยายไปยังตลาดอื่นๆ เช่น อาเซียน อาเซป CPTPP ตะวันออกกลาง และอินเดีย
  • ยกระดับสินค้าส่งออก: เพิ่มมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า โดยเฉพาะสินค้าเกษตร และส่งเสริมการผลิตสินค้าไฮเทคโดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม
  • ทบทวนการส่งเสริมการลงทุน: พิจารณาเงื่อนไขการลงทุนให้เอื้อประโยชน์ต่อประเทศไทยมากขึ้น เช่น การใช้สินค้าและวัตถุดิบภายในประเทศ
  • เจรจาต่อรองกับสหรัฐฯ: ขอให้มีการยกเว้นหรือลดอัตราภาษีสำหรับสินค้าที่มีความสำคัญและมีมูลค่าเพิ่มสูงของไทย เช่น ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าเกษตรบางประเภท
  • ส่งเสริมภาคบริการ: ใช้ประโยชน์จากดุลบริการของไทยในด้านดิจิทัลคอนเทนต์ ซอฟต์พาวเวอร์ และการท่องเที่ยว เพื่อช่วยลดผลกระทบจากดุลการค้าที่เสียเปรียบ
  • พิจารณาการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ: ทบทวนรายการสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ที่เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจโดยรวม

มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยประเมินว่า เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายจากทั้งผลกระทบของเหตุการณ์แผ่นดินไหวและมาตรการภาษีใหม่ของสหรัฐอเมริกา แม้ว่าเทศกาลสงกรานต์จะยังคงมีความคึกคักและคาดว่าจะมีเม็ดเงินหมุนเวียนจำนวนมาก แต่ผลกระทบจากปัจจัยภายนอกเหล่านี้อาจส่งผลให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม รัฐบาลและภาคส่วนต่างๆ จำเป็นต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เตรียมพร้อมสำหรับการเจรจา และดำเนินมาตรการที่เหมาะสมเพื่อลดผลกระทบและประคองเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

ข้อมูล : UTCC News