SCB EIC ประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจและภาคธุรกิจไทย

เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2025 เวลา 19:50 น. ตามเวลาในประเทศไทย เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 8.2 แมกนิจูดในบริเวณตอนกลางของประเทศเมียนมา โดยแรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นได้ขยายไปยังหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทยในเขตกรุงเทพมหานครและพื้นที่ภาคเหนือและตะวันออกของประเทศ โดยเหตุการณ์นี้ได้ทำให้เกิดความเสียหายทั้งในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานและความเชื่อมั่นของประชาชน ขณะที่หน่วยงานทางการและบริษัทเอกชนต่างๆ กำลังดำเนินการประเมินผลกระทบและวางแผนฟื้นฟูสถานการณ์ ซึ่งในกรณีของประเทศไทยผลกระทบในเชิงเศรษฐกิจและภาคธุรกิจนั้นสามารถประเมินได้ว่าเป็นการทดสอบความยืดหยุ่นของเศรษฐกิจในช่วงที่กำลังฟื้นตัวจากสถานการณ์ COVID-19 และการเปลี่ยนแปลงของตลาดโลก

ที่มา การวิเคราะห์โดย SCB EIC

ผลกระทบต่อภาคท่องเที่ยว
ลดลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงสั้น:
ภาคท่องเที่ยวของไทยถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวครั้งนี้อย่างชัดเจน แม้จะไม่มีรายงานการเสียชีวิตจากแผ่นดินไหวในประเทศไทย แต่แรงสั่นสะเทือนและความกังวลเรื่องความปลอดภัยได้ทำให้เกิดการยกเลิกการเดินทางของนักท่องเที่ยวทั้งภายในและต่างประเทศ ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา สมาคมโรงแรมไทยและผู้ประกอบการท่องเที่ยวรายใหญ่ต่างได้รายงานว่าอัตราการจองห้องพักในกรุงเทพฯ และจังหวัดท่องเที่ยวหลักๆ อย่างภูเก็ต เชียงใหม่ และเชียงรายลดลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการสั่นสะเทือนในช่วงแรกๆ ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่ปลอดภัย และเกิดความกังวลว่าหากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเกิดขึ้นอีกจะส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของผู้ที่มาเยือน

ข้อมูลจากการสำรวจพบว่าอัตราการจองห้องพักในโรงแรมระดับกลางถึงระดับสูงในกรุงเทพฯ ลดลงถึง 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งเกิดจากการระมัดระวังในกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีการยกเลิกการจองห้องพักและกิจกรรมท่องเที่ยวต่างๆ ในระยะเวลาเพียง 48 ชั่วโมงหลังเกิดเหตุแผ่นดินไหว รวมถึงคำแนะนำจากบางประเทศที่ให้พลเมืองของตนหลีกเลี่ยงการเดินทางมายังประเทศไทย

สมาคมสายการบินแห่งประเทศไทย (สอท.) ได้รายงานว่า การจองที่นั่งสำหรับเที่ยวบินระหว่างประเทศลดลงราว 40%-50% ในช่วง 3 วันหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว นอกจากนี้การเดินทางจากนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงเวลานี้ยังลดลงประมาณ 15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2024 และมีแนวโน้มที่จะลดลงต่อเนื่องในเดือนเมษายน ส่งผลให้การท่องเที่ยวในปี 2025 อาจจะไม่เป็นไปตามคาดการณ์เดิมที่วางไว้ การคาดการณ์จาก SCB EIC ระบุว่า ไทยอาจสูญเสียรายได้จากการท่องเที่ยวไปเกือบ 30,000 ล้านบาท หากสถานการณ์นี้ไม่สามารถฟื้นฟูได้ภายในระยะเวลา 3 เดือน

มาตรการที่ควรดำเนินการ:
เพื่อฟื้นฟูการท่องเที่ยวในระยะสั้น ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว เช่น การเสริมสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ผ่านการตรวจสอบและรับรองความปลอดภัยในสถานที่สำคัญ และการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ ซึ่งอาจเป็นทางเลือกในการทดแทนการลดลงของนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงนี้

ผลกระทบต่อภาคอสังหาริมทรัพย์
ตลาดคอนโดมิเนียม:
ภาคอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะในตลาดคอนโดมิเนียมได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว แม้ว่าความเสียหายจากแผ่นดินไหวจะไม่รุนแรงจนเกิดการพังทลายของอาคารใหญ่ๆ ในกรุงเทพฯ แต่การขาดความเชื่อมั่นจากผู้บริโภคและนักลงทุนในด้านความปลอดภัยของอาคารสูง โดยเฉพาะอาคารที่ตั้งอยู่ใกล้กับเขตที่มีการสั่นสะเทือนสูงอาจทำให้การซื้อและการโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ลดลงอย่างเห็นได้ชัด

การประเมินจาก SCB EIC ระบุว่าในปี 2025 อัตราการโอนกรรมสิทธิ์ในกรุงเทพฯ อาจลดลงราว 10%-15% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าเป็นการลดลงที่สูงกว่าการคาดการณ์ของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงต้นปี สำหรับผู้ซื้อในตลาดระดับกลางถึงระดับสูงจะมีการชะลอการตัดสินใจซื้อหรือโอนกรรมสิทธิ์ออกไป เนื่องจากต้องการความมั่นใจในด้านความปลอดภัยของอาคาร การฟื้นฟูความมั่นใจในความปลอดภัยของอาคารจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์กลับมาเติบโตได้อีกครั้ง

ที่มา การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ REIC

ตลาดรับเหมาก่อสร้างและโครงการใหม่:
ในขณะที่การก่อสร้างในตลาดรับเหมาก่อสร้างยังคงดำเนินต่อไปได้ แม้จะมีการตรวจสอบและประเมินผลกระทบจากการสั่นสะเทือน แต่การลดความเสี่ยงจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวจะทำให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ต้องลงทุนในมาตรการความปลอดภัยเพิ่มเติม เช่น การเสริมสร้างโครงสร้างอาคาร และการตรวจสอบมาตรฐานทางวิศวกรรมที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งอาจเพิ่มต้นทุนในการก่อสร้าง ส่งผลให้บางโครงการอาจต้องชะลอการดำเนินการ หรือปรับแผนการลงทุนใหม่

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม
ผลกระทบต่อ GDP และอุตสาหกรรมอื่นๆ:
ผลกระทบจากแผ่นดินไหวในครั้งนี้ยังคงมีแนวโน้มที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไทย โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยอาจได้รับผลกระทบทางตรงและทางอ้อมในราว 0.1%-0.3% ของ GDP ในระยะสั้น หากสถานการณ์ไม่คลี่คลายในระยะเวลา 3 เดือนข้างหน้า โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยวและภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจ

สำหรับภาคการเกษตรและภาคอุตสาหกรรมการผลิต ยังไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวมากนัก แต่การส่งออกสินค้าจะต้องจับตามองสถานการณ์ทางการเมืองและการค้าในระดับโลก เนื่องจากเหตุการณ์นี้อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการลงทุนและความปลอดภัยในพื้นที่ต่างๆ

การตอบสนองของภาครัฐ:
ภาครัฐควรเร่งออกมาตรการเชิงรุกเพื่อฟื้นฟูสถานการณ์ เช่น การออกมาตรการช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงการตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัยของโครงสร้างอาคาร และการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ นอกจากนี้การสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์และนักท่องเที่ยวต่างชาติจะช่วยลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทยได้

ข้อมูล : https://www.scbeic.com/th/detail/product/earthquake-01042025