เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในไตรมาส 2/2568 โดย จีน กำลังฟื้นตัวจากมาตรการกระตุ้นเชิงรุก ขณะที่ เศรษฐกิจไทย กำลังถูกแรงกดดันจากมาตรการภาษีนำเข้าของ สหรัฐฯ ภายใต้นโยบายของ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบมากกว่าปัจจัยทางธรรมชาติอย่างแผ่นดินไหว ด้านนักวิเคราะห์จาก บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ ประเมินว่าตลาดหุ้นไทยอาจมีโอกาสฟื้นตัวหลังการปรับฐานในช่วงที่ผ่านมา
นโยบายภาษีสหรัฐฯ เพิ่มแรงกดดันเศรษฐกิจโลก
นาย สุทธิชัย คุ้มวรชัย หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด เปิดเผยว่า เศรษฐกิจโลกกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านสำคัญ โดยเศรษฐกิจสหรัฐฯ เผชิญแรงกดดันจาก มาตรการภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและตลาดแรงงาน ส่งผลให้หุ้นทั่วโลกรวมถึงตลาดสหรัฐฯ เองต้องเผชิญความผันผวน ขณะที่ จีน กำลังแสดงสัญญาณฟื้นตัวผ่านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น การออกพันธบัตรพิเศษระยะยาว และการตั้งเป้า GDP ที่ 5%
สหภาพยุโรป มีแนวโน้มฟื้นตัวหลังความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์เริ่มลดลง อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังเผชิญแรงกดดันจากภายนอก โดยเฉพาะความตึงตัวทางการเงินและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากภาษีของสหรัฐฯ แม้ว่าตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมาอยู่ในระดับที่น่าสนใจและมีโอกาสฟื้นตัวในไตรมาส 2/2568

ความเสี่ยงเศรษฐกิจไทยและภาวะ Stagflation
ดร. ปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ระบุว่าเศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่ภาวะ Mild Stagflation หรือภาวะที่เศรษฐกิจเติบโตชะลอตัว ขณะที่เงินเฟ้อยังคงสูง ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยเพียง 0.25% ในปี 2568 ขณะที่ IMF อาจปรับลดประมาณการเศรษฐกิจโลก เห็นได้จาก PMI โลกที่ลดลงต่ำสุดในรอบ 1 ปี
เศรษฐกิจ สหรัฐฯ ยังแข็งแกร่งและมีโอกาสเกิดภาวะถดถอยต่ำ ด้าน จีน แม้เผชิญความเสี่ยงด้านหนี้สินและอสังหาริมทรัพย์ แต่ยังคงเดินหน้า กระตุ้นเศรษฐกิจผ่านอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น AI และยานยนต์ไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม ไทยมีความเสี่ยงจากมาตรการ Reciprocal Tariff ของสหรัฐฯ ซึ่งอาจทำให้ GDP ปี 2568 ลดลงจาก 2.5% เหลือ 2.0% หรือต่ำกว่า
การลงทุนในตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ
นาย สิทธิชัย ดวงรัตนฉายา หัวหน้านักกลยุทธ์ บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด มองว่าแม้ตลาดหุ้นไทยยังเผชิญแรงกดดัน แต่ Valuation ที่ต่ำกว่าก่อน COVID-19 ทำให้เริ่มกลับมาน่าสนใจ โดยคาดว่า SET Index อาจฟื้นตัวที่ระดับ 1,300-1,350 จุด ในไตรมาส 2/2568
หุ้นเด่นที่แนะนำ ได้แก่ BCH กลุ่มโรงพยาบาลที่ได้รายได้จากในประเทศ CPALL, CPF หุ้นบริโภคที่มีแนวโน้มฟื้นตัว KTB, TRUE กลุ่มธนาคารและเทคโนโลยีที่มีความแข็งแกร่ง พร้อมแนะนำให้กระจายการลงทุนไปยังตลาดจีนและ Emerging Markets ที่ได้รับแรงหนุนจากนโยบายภาครัฐ เช่น Verizon, UnitedHealth, Iberdrola, Hong Kong Exchange, Trip.com, Tencent, Alibaba
ดร. รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ ผู้อำนวยการอาวุโสสายงาน Wealth Products & Strategy บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด เสริมว่า ตลาดการลงทุนยังมีความผันผวนสูงจากมาตรการ Reciprocal Tariffs ของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อและเศรษฐกิจโลก แม้ว่าภาคเทคโนโลยียังคงแข็งแกร่ง แต่ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจถูกกดดันจากความเสี่ยงเรื่องเศรษฐกิจถดถอยที่เพิ่มสูงขึ้น
ข้อมูล/ ภาพ : pptvhd36