ศุภวุฒิ ชี้ทรัมป์ขึ้นภาษีไทยแน่ จับตา 2 เม.ย. นี้

ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เตือนถึงการประกาศมาตรการเก็บภาษีตอบโต้จากสหรัฐฯ ในวันที่ 2 เมษายน 2568 โดยเชื่อว่าเป็นเรื่องที่ไทยต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เนื่องจากนโยบายภาษีของรัฐบาล โดนัลด์ ทรัมป์ อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างรุนแรง โดยเฉพาะการส่งออกที่คิดเป็น 9% ของ GDP ประเทศไทย ซึ่งจะทำให้เผชิญกับภาวะความไม่แน่นอนในช่วงเวลานี้ และอาจยืดเยื้อไปจนถึงปี 2569

ในงานสัมมนา “Prachachat Forum : NEXT MOVE Thailand 2025” ดร.ศุภวุฒิได้กล่าวถึงความท้าทายที่ประเทศไทยต้องเผชิญ โดยเฉพาะในสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอน และการประกาศมาตรการภาษีตอบโต้จากสหรัฐในวันที่ 2 เมษายนที่จะถึงนี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการกีดกันการค้าของรัฐบาล โดนัลด์ ทรัมป์ ที่มุ่งปรับโครงสร้างการค้าระหว่างประเทศ

ดร.ศุภวุฒิกล่าวว่า การที่สหรัฐฯ จะขึ้นภาษีสินค้าและบริการจากประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ รวมถึงประเทศไทย น่าจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เนื่องจาก ปีเตอร์ นาวาร์โร ที่ปรึกษาด้านการค้าของทรัมป์ได้มีการวางแผนไว้ในเอกสาร Agenda 2025 และคาดการณ์การตอบโต้ภาษีจากสหรัฐฯ โดยใช้ข้อมูลที่ได้จากการคำนวณภาษีจากประเทศคู่ค้า รวมทั้งไทย ซึ่งในเอกสารนี้ ไทยถูกพิจารณาว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่สหรัฐฯ จะเก็บภาษีเพิ่มขึ้น เพื่อช่วยลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ

ผลกระทบจากมาตรการภาษีตอบโต้
หากมาตรการนี้ถูกนำมาใช้จริง คาดว่าไทยจะต้องเผชิญกับการขึ้นภาษีจากสหรัฐฯ ซึ่งจะมีผลต่อการส่งออกสินค้าของไทยไปยังตลาดสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นตลาดที่สำคัญ โดยสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของไทย คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20% ของการส่งออกทั้งหมดหรือประมาณ 9% ของ GDP ของไทย ซึ่งการขึ้นภาษีนี้อาจทำให้การส่งออกสินค้าของไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ที่อาจไม่ได้รับผลกระทบจากการเก็บภาษีนี้

แม้ในอดีตการขึ้นภาษีจากสหรัฐฯ ในปี 1930 ภายใต้กฎหมาย Smoot-Hawley ทำให้มูลค่าการค้าโลกลดลง 60% แต่ดร.ศุภวุฒิเชื่อว่าในปัจจุบันผลกระทบจากการขึ้นภาษีอาจไม่รุนแรงขนาดนั้น เนื่องจากสภาพแวดล้อมทางการเงินและการค้ายังคงแตกต่างจากในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจครั้งก่อน และมีการผ่อนคลายทางการเงินที่ดีกว่าในอดีต

ผลกระทบทางเศรษฐกิจและการคาดการณ์ GDP
การปรับลดการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จาก 2.1% เหลือ 1.7% ในปี 2568 ถือเป็นการลดคาดการณ์ที่สำคัญ โดยเศรษฐกิจโลกที่ใหญ่ที่สุดนี้ได้ปรับลดการเติบโตลง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นในเศรษฐกิจโลก และแนวโน้มที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยตามมา ดร.ศุภวุฒิกล่าวว่า การลดการขยายตัวของ GDP สหรัฐฯ สะท้อนถึงผลกระทบที่ประเทศไทยอาจต้องเผชิญ เนื่องจากการที่สหรัฐฯ เป็นตลาดหลักของการส่งออกไทย

แนวทางการรับมือของไทย
ดร.ศุภวุฒิกล่าวถึงปัญหาของเศรษฐกิจไทยที่ยังขยายตัวในอัตราที่ช้า และปัญหาเศรษฐกิจระยะยาวเช่น ปัญหาการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และการขาดแคลนแรงงาน ที่มีจำนวนคนไทยอายุ 60 ปีขึ้นไปถึง 12.5 ล้านคน โดยที่หนึ่งในสามของกลุ่มนี้ไม่มีงานทำ และ 45% ของคนกลุ่มนี้ไม่มีเงินออม

นอกจากนี้ ดร.ศุภวุฒิยังกล่าวถึงการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมในภาคเกษตร ซึ่งเป็นภาคที่ใช้ทรัพยากรมาก เช่น ที่ดิน น้ำ และแรงงาน แต่มีผลผลิตต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับศักยภาพในการแข่งขันระดับโลก โดยเฉพาะในภาคการเกษตรที่ยังมีพื้นที่ในการพัฒนาเพื่อเพิ่มผลผลิตและแข่งขันได้มากขึ้น

ในด้านเทคโนโลยี ดร.ศุภวุฒิเชื่อว่าความสำเร็จของเศรษฐกิจไทยในอนาคตจะมาจากการลงทุนในนวัตกรรมและการพัฒนาคุณภาพของแรงงาน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเกษตรและการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นสองภาคส่วนที่ไทยยังมีศักยภาพในการเติบโตและการแข่งขันอย่างสูง

ภูมิรัฐศาสตร์และปัจจัยภายนอก
ในด้านภูมิรัฐศาสตร์ ดร.ศุภวุฒิกล่าวว่า นโยบายการค้าของทรัมป์ที่มีแนวโน้มจะทำลายความสัมพันธ์กับพันธมิตรดั้งเดิมของสหรัฐฯ เช่น แคนาดา, เม็กซิโก, และยูเครน แต่กลับดูเหมือนจะผ่อนปรนกับประเทศคู่แข่งอย่างรัสเซีย นั่นอาจทำให้ยุโรปต้องเผชิญกับผลกระทบจากการลดการใช้ทรัพยากรด้านเศรษฐกิจเพื่อหันไปให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความมั่นคง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยโดยตรง

สุดท้าย ดร.ศุภวุฒิกล่าวว่า ไทยต้องมุ่งมั่นในการพัฒนาคุณภาพของแรงงานและเทคโนโลยีเพื่อต่อสู้กับความท้าทายทางเศรษฐกิจที่กำลังจะเกิดขึ้น และต้องเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นจากนโยบายของสหรัฐฯ ซึ่งอาจกระทบต่อการส่งออกและการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

ข้อมูล/ ภาพ : matichon