ครม. เคาะเวนคืนที่ดิน สร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วงต่อขยาย

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2568 มีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) จำนวน 2 ฉบับ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน และเขตที่ดินที่ใช้สำหรับดำเนินการขนส่งมวลชน เพื่อรองรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงช่วง เตาปูน – ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) ครอบคลุมพื้นที่ 10 เขตในกรุงเทพมหานคร และ 1 อำเภอในจังหวัดสมุทรปราการ โดยเป็นการต่ออายุข้อกฎหมายที่หมดอายุไปก่อนหน้านี้

ขอบเขตพื้นที่เวนคืนครอบคลุม 10 เขต กทม. และอ.พระประแดง

ร่าง พ.ร.ฎ. กำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ฉบับใหม่นี้ระบุพื้นที่ที่ต้องเวนคืนใน 10 เขตของกรุงเทพฯ ได้แก่ บางซื่อ, ดุสิต, พระนคร, ป้อมปราบศัตรูพ่าย, สัมพันธวงศ์, ธนบุรี, คลองสาน, จอมทอง, ราษฎร์บูรณะ และทุ่งครุ รวมถึง อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ โดยมีพื้นที่สำคัญที่ได้รับผลกระทบ เช่น แขวงบางซื่อ, แขวงถนนนครไชยศรี, แขวงวัดสามพระยา, แขวงบางขุนพรหม, แขวงวัดกัลยาณ์ และแขวงสมเด็จเจ้าพระยา เป็นต้น

นอกจากพื้นที่เวนคืนแล้ว ร่าง พ.ร.ฎ. ฉบับที่สอง ได้กำหนดเขตที่ดินสำหรับดำเนินโครงการขนส่งมวลชน ซึ่งครอบคลุมพื้นที่เดียวกัน โดยระบุว่าเขตที่ดินดังกล่าวจะถูกใช้เพื่อการก่อสร้างระบบรถไฟฟ้า สถานีจอดรถโดยสาร และสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวข้อง

กฎหมายใหม่ทดแทนกฎหมายเดิมที่หมดอายุ

การออก พ.ร.ฎ. ฉบับใหม่ มีความจำเป็นเนื่องจากข้อกฎหมายเดิมที่กำหนดเขตเวนคืน และการใช้พื้นที่สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2567 ซึ่งกฎหมายเดิมมีผลบังคับใช้เป็นเวลา 4 ปี แต่ยังไม่สามารถดำเนินการเวนคืนและพัฒนาโครงการได้เสร็จสิ้น

เพื่อให้การก่อสร้างดำเนินต่อไป กระทรวงคมนาคม จึงเสนอให้ ครม. ออกกฎหมายใหม่ที่มีผลบังคับใช้เป็นเวลา 4 ปี เช่นเดิม โดยกำหนดให้เริ่มสำรวจที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในแนวเวนคืนภายใน 180 วัน นับจากวันที่ พ.ร.ฎ. มีผลบังคับ

ดำเนินโครงการภายใต้วงเงิน 15,913 ล้านบาท

แม้จะมีการต่ออายุข้อกฎหมาย แต่กรอบวงเงินค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินยังคงเดิม โดย ครม. ได้อนุมัติกรอบวงเงิน 15,913 ล้านบาท สำหรับการเวนคืนที่ดินและดำเนินโครงการขนส่งมวลชนสายสีม่วงตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2560

ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคมได้ดำเนินการเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนก่อนเสนอร่าง พ.ร.ฎ. ดังกล่าว โดยยืนยันว่าการดำเนินโครงการจะอยู่ภายใต้กรอบงบประมาณและข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อให้โครงการสามารถเดินหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรองรับการขยายระบบขนส่งมวลชนของกรุงเทพฯ และปริมณฑลในอนาคต