การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเสริมแกร่งเศรษฐกิจดิจิทัลและบริการสุขภาพ
วันนี้ (17 มีนาคม 2568) นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) มีมติอนุมัติส่งเสริมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ 4 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 200,000 ล้านบาท ครอบคลุมทั้งโครงการระบบขนส่งมวลชนและศูนย์ข้อมูลดิจิทัลที่สำคัญของประเทศ นอกจากนี้ ยังมีมาตรการสนับสนุนการลงทุนภาคเอกชนในกิจการโรงพยาบาลของรัฐในรูปแบบ PPP (Public-Private Partnership) เพื่อยกระดับคุณภาพบริการทางการแพทย์
รถไฟฟ้าสายสีส้มและศูนย์ข้อมูลดิจิทัลขนาดใหญ่
โครงการที่ได้รับการอนุมัติในครั้งนี้ ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ซึ่งดำเนินการโดย บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ด้วยมูลค่าการลงทุน 109,210 ล้านบาท เพื่อขยายโครงข่ายระบบขนส่งมวลชน ลดปัญหาการจราจร และสนับสนุนการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน
ในด้านเศรษฐกิจดิจิทัล บอร์ดบีโอไอ อนุมัติการลงทุน ศูนย์ข้อมูล (Data Center) 3 แห่ง จากผู้ประกอบการไทย จีน และสิงคโปร์ รวมมูลค่าการลงทุน 90,870 ล้านบาท การพัฒนา Data Center เหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการรองรับความต้องการด้าน เศรษฐกิจดิจิทัลและเทคโนโลยี AI ช่วยให้ประเทศไทยสามารถเป็นศูนย์กลาง ดิจิทัลฮับ ของภูมิภาค และเพิ่มโอกาสให้ธุรกิจไทยสามารถเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่มีมาตรฐานระดับโลก
สนับสนุนการลงทุนภาคเอกชนในกิจการโรงพยาบาลรัฐ
เพื่อเพิ่มศักยภาพระบบสาธารณสุข บอร์ดบีโอไอ ได้มีมติเห็นชอบให้ภาคเอกชนร่วมลงทุนในกิจการโรงพยาบาลของรัฐผ่าน รูปแบบ PPP โดยกำหนดสิทธิประโยชน์พิเศษสำหรับโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีจำนวนเตียงรับผู้ป่วยค้างคืนตั้งแต่ 91 เตียงขึ้นไป ซึ่งเข้าร่วมลงทุนกับหน่วยงานรัฐ จะได้รับ การยกเว้นอากรนำเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์ รวมถึง การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 5 ปี
ทั้งนี้ โครงการแรกที่ได้รับการอนุมัติให้ได้รับสิทธิประโยชน์ดังกล่าวคือ โครงการโรงพยาบาลปลวกแดง 2 จังหวัดระยอง ซึ่งถือเป็นความร่วมมือครั้งแรกในรูปแบบ PPP ของกระทรวงสาธารณสุขในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการแพทย์
หนุนอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างลดก๊าซเรือนกระจก
นอกเหนือจากโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณสุข บอร์ดบีโอไอ ยังได้มีมติสนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างที่ต้องปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อลด ก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการรับมือกับ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) หรือมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามแดนของสหภาพยุโรป โดยกิจการที่ได้รับสิทธิประโยชน์ภายใต้มาตรการนี้ ได้แก่ การผลิตวัสดุก่อสร้าง ผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรง และผลิตภัณฑ์เซรามิกส์ในกลุ่ม Earthenware และกระเบื้องเซรามิกส์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง
การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงแนวทางของรัฐบาลในการส่งเสริมการลงทุนอย่างยั่งยืน ควบคู่ไปกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
ข้อมูล / ภาพ : thaipbs
