สตาร์ตอัพ ปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่และบทเรียนจากประเทศผู้นำ

สตาร์ตอัพยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจยุคใหม่ โดยเฉพาะในประเทศที่สามารถพัฒนาระบบนิเวศสตาร์ตอัพให้แข็งแกร่งได้สำเร็จ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประเทศเหล่านั้นก้าวขึ้นเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจโลก การสนับสนุนจากรัฐบาล การเข้าถึงเงินทุนที่แข็งแกร่ง และการมีบุคลากรที่มีความสามารถเป็นหัวใจหลักที่ช่วยเสริมสร้างความสำเร็จให้กับสตาร์ตอัพ ข้อบทเรียนจากประเทศผู้นำระบบนิเวศสตาร์ตอัพชั้นนำจะเป็นแนวทางที่สำคัญสำหรับประเทศไทยในการพัฒนาให้กลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางสตาร์ตอัพที่มีศักยภาพในเวทีโลก

สิงคโปร์ – การสนับสนุนที่เข้มแข็งจากรัฐบาลและสิทธิประโยชน์ทางภาษี
รัฐบาลของสิงคโปร์มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมนวัตกรรมและสนับสนุนสตาร์ตอัพ โดยการให้เงินทุน คำปรึกษา และสิทธิประโยชน์ทางภาษี รวมถึงการมีกฎระเบียบที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจ สิงคโปร์มีสตาร์ตอัพมากกว่า 4,500 ราย ซึ่งมีมูลค่ารวมมากกว่า 4.9 ล้านล้านบาท นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ลงทุนในแผนการพัฒนาอุตสาหกรรม AI โดยมีกองทุนมูลค่า 25,000 ล้านบาท เพื่อลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูงและดึงดูดบุคลากรระดับโลก

อินโดนีเซีย – การเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
อินโดนีเซียถือเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจดิจิทัลใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยในปี 2022 มูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัลอยู่ที่ 2.6 ล้านล้านบาท และคาดว่าจะเติบโตถึง 4.4 ล้านล้านบาทในปี 2025 ระบบนิเวศสตาร์ตอัพในอินโดนีเซียมีสตาร์ตอัพมากกว่า 2,600 บริษัท และได้รับการสนับสนุนจากบริษัทลงทุนระดับโลก เช่น Sequoia Capital และ SoftBank ที่มีบทบาทในการเร่งการเติบโตของสตาร์ตอัพในหลายภาคส่วน

จีน – สตาร์ตอัพยูนิคอร์นและการสนับสนุนจากรัฐบาล
จีนเป็นประเทศที่มีสตาร์ตอัพระดับยูนิคอร์นมากที่สุดในโลก โดยมีมากกว่า 244 บริษัท และระบบนิเวศสตาร์ตอัพที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา เศรษฐกิจดิจิทัลของจีนมีมูลค่ามากกว่า 242 ล้านล้านบาท ซึ่งคิดเป็นประมาณ 40% ของ GDP รัฐบาลจีนสนับสนุนสตาร์ตอัพผ่านกองทุนภาครัฐและนโยบายที่ส่งเสริมเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น AI และเซมิคอนดักเตอร์ รวมถึงการมีตลาดภายในประเทศขนาดใหญ่ที่ช่วยให้สตาร์ตอัพเติบโตได้อย่างรวดเร็ว

อินเดีย – การสนับสนุนจากศูนย์บ่มเพาะและตลาดการลงทุนที่ขยายตัว
อินเดียมีสตาร์ตอัพมากกว่า 125,000 ราย และมีสตาร์ตอัพระดับยูนิคอร์นกว่า 110 บริษัท สร้างมูลค่ากว่า 11.9 ล้านล้านบาท เครือข่ายศูนย์บ่มเพาะและเร่งการเติบโตมากกว่า 1,400 แห่งในอินเดียเป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมการเติบโตของสตาร์ตอัพ ขณะเดียวกัน ประเทศยังได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนรายย่อยและบริษัทร่วมทุนในระยะเริ่มต้นที่ช่วยให้สตาร์ตอัพสามารถเข้าถึงเงินทุนที่จำเป็นในการเติบโต

เยอรมนี – การลงทุนจากภาครัฐและต่างประเทศในสตาร์ตอัพ
เยอรมนีมีสตาร์ตอัพมากกว่า 30,000 บริษัท และมียูนิคอร์นมากกว่า 50 บริษัท มูลค่ารวมกันกว่า 8.6 ล้านล้านบาท รัฐบาลเยอรมนีลงทุนประมาณ 38.6 พันล้านบาทในสตาร์ตอัพระยะเริ่มต้น พร้อมส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีสีเขียวและ AI ด้วยงบประมาณมากกว่า 176.2 พันล้านบาท นอกจากนี้ เยอรมนียังดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศได้ถึง 25% ของเงินทุนทั้งหมด

สหรัฐอเมริกา – ศูนย์กลางนวัตกรรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก
สหรัฐอเมริกามีสตาร์ตอัพมากกว่า 80,000 ราย และยูนิคอร์นกว่า 700 ราย มีมูลค่ารวมกันมากกว่า 102.3 ล้านล้านบาท ซิลิคอนแวลลีย์ยังคงเป็นศูนย์กลางของนวัตกรรมและสตาร์ตอัพในโลก โดยได้รับการสนับสนุนจากบุคลากรที่มีทักษะสูง ซึ่งในปี 2024 บัณฑิตด้าน STEM จะมีจำนวนมากกว่า 4.5 ล้านคน การเข้าซื้อกิจการของบริษัทสตาร์ตอัพจากบริษัทขนาดใหญ่ยังคงเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดสตาร์ตอัพในสหรัฐฯ

แนวทางการพัฒนาระบบนิเวศสตาร์ตอัพในประเทศไทย
ประเทศไทยสามารถใช้บทเรียนจากประเทศชั้นนำในการพัฒนาระบบนิเวศสตาร์ตอัพของตนเอง โดยการสนับสนุนจากรัฐบาลที่เข้มแข็ง การเข้าถึงเงินทุนที่มีพลวัต และการพัฒนาบุคลากรที่มีทักษะด้านนวัตกรรม เช่น AI และฟินเทค จะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยให้กลายเป็นศูนย์กลางสตาร์ตอัพที่มีศักยภาพในเวทีโลก

ข้อมูล/ภาพ : matichon