จีนตั้งเป้าการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2568 ไว้ที่ประมาณ 5% และประกาศจะอัดฉีดเงินหลายพันล้านดอลลาร์เข้าสู่เศรษฐกิจที่กำลังเผชิญกับปัญหาหลายด้าน โดยเฉพาะสงครามการค้ากับสหรัฐฯ และวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ภายในประเทศ การประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ (NPC) ที่กำลังจัดขึ้นในขณะนี้ จึงได้รับความสนใจอย่างมาก เนื่องจากอาจสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงนโยบายของจีนในอนาคต
จีนอัดฉีดเงินเข้าสู่เศรษฐกิจเพื่อกระตุ้นการเติบโต
การประชุมสภาประชาชนแห่งชาติครั้งนี้ถูกจับตาอย่างใกล้ชิด โดยนายกรัฐมนตรี หลี่ เฉียง ได้เสนอแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ซบเซาในรายงานความยาว 32 หน้า ซึ่งรวมถึงการเพิ่มการใช้จ่ายเกินดุลจาก 3% เป็น 4% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) พร้อมออกพันธบัตรระยะยาวพิเศษมูลค่า 1.3 ล้านล้านหยวน เพิ่มขึ้นจาก 1 ล้านล้านหยวนในปีที่แล้ว เพื่อสนับสนุนโครงการที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น การให้ส่วนลดแก่ผู้บริโภคที่นำรถยนต์หรือเครื่องใช้ไฟฟ้ามาแลกเป็นสินค้าราคาถูก
การเผชิญกับสงครามการค้าและการว่างงานในจีน
จีนยังคงเผชิญกับสถานการณ์ยากลำบากจากสงครามการค้ากับสหรัฐฯ โดยในปี 2568 สหรัฐฯ ได้เพิ่มภาษีสินค้านำเข้าจากจีน รวมถึงการตอบโต้ของจีนที่ขึ้นภาษีสินค้าการเกษตรจากสหรัฐฯ เช่น ข้าวโพด ข้าวสาลี และถั่วเหลือง ซึ่งทำให้จีนต้องปรับกลยุทธ์เศรษฐกิจเพิ่มเติม ทั้งนี้ จีนตั้งเป้าการสร้างงานในเมืองกว่า 12 ล้านตำแหน่ง และตั้งเป้าอัตราการว่างงานในเมืองไว้ที่ 5.5% ภายในปี 2568
การพัฒนาเทคโนโลยีและการส่งเสริมการใช้จ่ายภายในประเทศ
ในการประชุมนี้ จีนยังได้ประกาศแผนที่จะลงทุนใน “การพัฒนาคุณภาพสูง” โดยเน้นที่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น พลังงานหมุนเวียนและปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งคาดว่าจะเป็นจุดสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะยาว รวมถึงการส่งเสริมให้ประชาชนใช้จ่ายมากขึ้น ผ่านโครงการแลกเปลี่ยนสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ การกระตุ้นการบริโภคนี้จะช่วยลดการพึ่งพาการส่งออกและการลงทุนภายนอกประเทศ

ความท้าทายจากสงครามการค้ากับสหรัฐฯ
สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีน โดยการขึ้นภาษีสินค้าหลายรายการจากสหรัฐฯ รวมถึงการเก็บภาษีใหม่จาก ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้จีนต้องเผชิญกับการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา การจัดเก็บภาษีศุลกากรใหม่จากสหรัฐฯ อาจทำให้ความรู้สึกของนักลงทุนลดลง และสร้างความท้าทายให้กับแผนการพัฒนาเทคโนโลยีและเศรษฐกิจของจีน
ข้อมูล / ภาพ : BBC