เศรษฐกิจไทยปี 2568 รมช. การคลังยืนยันแนวโน้มขาขึ้น แม้ดัชนีตลาดหุ้นปรับลด

4 มี.ค. 2568 – นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนจากนิด้าโพล ที่พบว่าเสียงส่วนใหญ่ไม่พอใจการทำงานของรัฐบาลภายใต้การนำของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา โดยระบุว่า รัฐบาลยินดีรับฟังความคิดเห็นทุกฝ่าย แต่ในการพิจารณาทิศทางเศรษฐกิจ รัฐบาลยึดตามข้อมูลตัวเลขเศรษฐกิจที่เป็นข้อเท็จจริงมากกว่าความรู้สึกหรืออารมณ์ของประชาชน

รัฐบาลมั่นใจเศรษฐกิจไทยปี 2568 เติบโตต่อเนื่อง

นายเผ่าภูมิกล่าวยืนยันว่า ตัวเลขเศรษฐกิจของไทยเกือบทุกตัวมีแนวโน้มขาขึ้น โดยยกตัวอย่างเช่น การบริโภค การส่งออก และเสถียรภาพทางการเงินที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2567 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงทิศทางที่ดีของเศรษฐกิจไทย เขายังมั่นใจว่าในไตรมาสแรกของปี 2568 เศรษฐกิจจะเติบโตได้ดีและมีแนวโน้มขาขึ้นต่อไป โดยเฉพาะในภาคการเงินและการลงทุนที่ยังคงมีการกระตุ้นอย่างต่อเนื่องจากมาตรการของรัฐบาล

มองตลาดหุ้นไทย: โอกาสในช่วงที่ราคาปรับตัว

ในประเด็นเกี่ยวกับดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง นายเผ่าภูมิได้ชี้แจงว่า พื้นฐานเศรษฐกิจยังคงดีและทุกตัวเลขยังอยู่ในช่วงขาขึ้น ซึ่งการปรับตัวลดลงในตลาดหุ้นอาจถูกมองเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนที่สามารถมองเห็นการเติบโตในอนาคตจากพื้นฐานเศรษฐกิจที่มีอยู่ ขณะที่บางส่วนอาจจะเห็นแค่ความเสี่ยงโดยไม่สามารถมองเห็นโอกาสที่ซ่อนอยู่

ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจระยะยาว: ฟื้นฟูคุณภาพชีวิตและระบบการเงิน

รมช. การคลังยังกล่าวถึงการดำเนินงานในเรื่องการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะยาว โดยหนึ่งในนโยบายสำคัญคือการยกร่างกฎหมายที่สำคัญ 3 ฉบับ ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน (Financial Hub), พ.ร.บ. สถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ และการปรับปรุง พ.ร.บ. กองทุนการออมแห่งชาติ ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญในการรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว และจะเป็นเครื่องยนต์ในการพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ให้กับประเทศไทย

พ.ร.บ. Fin Hub: เปิดช่องสู่อนาคตการเงินดิจิทัล

นายเผ่าภูมิยังยืนยันถึงความสำคัญของ พ.ร.บ. ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน (Fin Hub) ที่จะเป็นตัวผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางทางการเงินของภูมิภาค โดยกฎหมายดังกล่าวไม่ได้จำกัดรูปแบบธุรกิจการเงิน แต่จะเปิดช่องให้สามารถรองรับการพัฒนาและการนำนวัตกรรมทางการเงินในอนาคตเข้ามาในประเทศได้ อย่างไรก็ตาม กฎหมายจะมีการกำหนดโดยคณะกรรมการที่ต้องคำนึงถึงมาตรฐานสากลและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ

ความเชื่อมั่นในอนาคต: เสถียรภาพและการพัฒนาที่ยั่งยืน

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังยังกล่าวเพิ่มเติมว่า พ.ร.บ. Fin Hub จะไม่เป็นการรวมอำนาจการกำกับดูแลไว้ที่หน่วยงานเดียว แต่จะมีการแบ่งหน้าที่การดูแลระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.), คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และ คณะกรรมการกำกับธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ทำให้สามารถดูแลธุรกิจการเงินแบบเดิมควบคู่กับการเปิดรับธุรกิจใหม่ๆ เช่น Digital Assets

ข้อมูล / ภาพ : thaipost