กกร. คาดเศรษฐกิจไทยปี 68 โต 2.4-2.9% ห่วงสงครามการค้า-บาทแข็งกระทบส่งออก

คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยายตัวในช่วง 2.4-2.9% โดยมีปัจจัยเสี่ยงจากสงครามการค้ารอบใหม่และค่าเงินบาทที่แข็งค่า ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกของประเทศ

ปัจจัยเสี่ยงที่อาจกระทบเศรษฐกิจไทย

  • สงครามการค้ารอบใหม่: การที่สหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโก แคนาดา และจีน ส่งผลให้เกิดการตอบโต้ทางการค้าจากประเทศเหล่านั้น ซึ่งอาจกดดันการค้าโลกและส่งผลลบต่อเศรษฐกิจไทย
  • ค่าเงินบาทแข็งค่า: ทิศทางค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่อง อาจเป็นความท้าทายต่อการส่งออกของไทย เนื่องจากสินค้าของไทยจะมีราคาสูงขึ้นเมื่อเทียบกับคู่แข่ง

แนวทางการรับมือที่เสนอโดย กกร.

  1. การเจรจาระดับรัฐ: ป้องกันและบรรเทาการใช้มาตรการทางการค้าจากสหรัฐฯ และสร้างความร่วมมือกับประเทศในอาเซียน เพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจร่วมกัน
  2. สนับสนุนด้านกฎหมายและกฎระเบียบการค้า: ช่วยเหลือภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการทางการค้า
  3. บูรณาการเพื่อช่วยเหลืออุตสาหกรรมในประเทศ: ปฏิรูปกฎหมายเพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทย
  4. ใช้มาตรการทางการค้าเพิ่มเติม: นอกเหนือจากมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด ควรใช้มาตรการควบคุมการนำเข้า ตามพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2522
  5. ควบคุมการตั้งหรือขยายโรงงาน: ป้องกันการผลิตเกินความต้องการ และกำกับดูแลภาคอุตสาหกรรมในเขต Free zone อย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการลักลอบนำสินค้าและวัตถุดิบกลับมาขายในประเทศ
  6. ส่งเสริมสินค้าที่ผลิตในประเทศ: เพิ่มสัดส่วนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ และกำหนดเงื่อนไขการใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศในโครงการรัฐ

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในฐานะประธาน กกร. ระบุว่า สถานการณ์สงครามการค้าอาจส่งผลดีต่อการส่งออกสินค้าไทยในระยะสั้น เนื่องจากสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโกมีราคาสูงขึ้นจากการที่สหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษีนำเข้า อย่างไรก็ตาม ควรติดตามมาตรการเพิ่มเติมจากสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด เนื่องจากการส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงที่ผ่านมา

ประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 โดย กกร.

  • อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP): เติบโต 2.4-2.9%
  • มูลค่าการส่งออก: ขยายตัว 1.5-2.5%
  • อัตราเงินเฟ้อ: เพิ่มขึ้น 0.8-1.2%

กกร. เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการวางแนวทางเพื่อลดผลกระทบทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยใช้ประโยชน์จากการแยกขั้วของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และเร่งทำข้อตกลงทางการค้าเพิ่มเติม เช่น ความตกลงการค้าเสรี (FTA) ระหว่างไทยกับสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (EFTA) เพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน

ข้อมูล/ภาพ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์