พิชัย ขอบคุณ กนง.ลดดอกเบี้ยนโยบายลง เป็นไปตามที่รัฐบาลคาดหวังช่วยประชาชน-เอสเอ็มอี ชี้อยากเห็นแบงก์พาณิชย์ปล่อยกู้เสริมสภาพคล่อง ยังหวัง กนง.ลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25 ในการประชุมครั้งหน้า เตรียมถกกรอบเงินเฟ้อต่อให้เพิ่มอยู่ในระดับ 2-3 %
วันที่ 17 ตุลาคม 2567 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวถึงกรณีคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติ 5 ต่อ 2 เสียง ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี จาก ร้อยละ 2.50 เป็น ร้อยละ 2.25 ต่อปี ว่า เป็นไปตามสิ่งที่รัฐบาลคาดหวังไว้ส่วนหนึ่ง ซึ่งการลดดอกเบี้ยถือเป็นการลดภาระ แต่แน่นอนว่าการที่คนจะไปกู้เงินล๊อตใหม่ได้ดอกเบี้ยร้อยละ 0.25 อาจไม่ใช่ประเด็นที่สำคัญ
แต่ประเด็นสำคัญ คือคนที่เป็นหนี้จะได้ลดอัตราดอกเบี้ย และมีผลต่อความเชื่อมั่นเงินกู้ที่อยู่ในตลาด Bond Yield หรืออัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล ก็จะมีผลดีกับผู้ที่ลงทุนรุ่นเก่า ดังนั้นผลที่ออกมาเป็นไปแนวทางบวก
นายพิชัย กล่าวอีกว่า กนง.ก็ยังเป็นห่วงหนี้ ส่วนบุคคลกับหนี้เอสเอ็มอี ซึ่งตนเองเห็นว่า เรื่องดังกล่าวถูกจุดแล้ว ดังนั้นการลดอัตราดอกเบี้ย แต่ความเป็นจริงแล้วต้องมีสภาพคล่อง ฉะนั้นต้องหาทางที่จะพูดคุยโดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ เพื่อที่จะให้มีการปล่อยสภาพคล่องเข้ามาในตลาดมากขึ้น
ส่วนธนาคารของรัฐ ได้ทำเต็มที่แล้วและทำทุกมิติในจำนวนที่มาก โดยคำนึงหลักที่ว่า ธนาคารทำได้ เนื่องจากสถานะธนาคารภาครัฐ ในช่วงที่ผ่านมามีความเข้มแข็ง เช่นเดียวกับสถานบันอื่นๆ ก็มีความเข้มแข็ง ซึ่งอยากจะเห็นความร่วมมือและช่วยกันฟื้นฟู เพื่อเพิ่มสภาพคล่องเข้ามา
ทั้งนี้ การลดอัตราดอกเบี้ย ก็จะมีผลทำให้สภาพคล่องไหลกลับเข้ามาส่วนหนึ่ง ดังนั้น ก็ถือเป็นไปตามที่คาดหวัง แต่จะดำเนินการอย่างไรต่อไป ต้องดูใน 2 เรื่อง คือ 1.หนีไม่พ้นที่จะคิดอัตราดอกเบี้ยแค่ประเทศไทย ซึ่งต้องดูองค์ประกอบ แนวคิด วิธี แนวโน้ม ของประเทศที่มีผลต่อโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐ ยุโรป ซึ่งต้องดูเรื่องนี้ประกอบด้วยในลำดับต่อไป ซึ่งตนหวังว่า ไม่ใช่เฉพาะครั้งนี้คงต้องมีการปรึกษาหารือกัน
2.ส่วนตัวคิดว่า ภาวะเงินเฟ้อคงไม่ถึง ร้อยละ 1 ในปีนี้ นั้นหมายความว่า ไทยอาจพลาดโอกาสหรือไม่ในการที่จะทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้นมากว่านี้ ดังนั้นการที่เงินเฟ้อสูงขึ้นมา ก็จะเป็นส่วนหนึ่งของการกระตุ้นเศรษฐกิจภาคการผลิตให้สามารถรองรับได้ แต่ถ้ามีการคาดการณ์ว่า ปีหน้าจะเป็นร้อยละ 1 กว่า ถ้าจะหวังการคาดการณ์ในปีต่อๆไปอาจต้องมาถกคิด เนื่องจากปีที่ผ่านมาหากย้อนกลับไปก็เคยพูดเช่นนี้ว่า ค่าเงินเฟ้ออาจจะเพิ่มขึ้น แต่ของจริงไม่ขึ้น
ดังนั้นอาจต้องดูข้อเท็จจริงมากขึ้น ซึ่งส่วนตัวคิดว่า หลายเรื่องก็น่าจะเป็นผลดีระดับหนึ่ง และคิดว่า กนง.ก็ได้หยิบเรื่องนี้ขึ้นมาดู ก็ต้องขอขอบคุณที่ดูอย่างละเอียดและรอบคอบ และหวังว่า ก็จะดูผลอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่ต้องดูว่า มีนโยบายอย่างไรต่อไป การที่ทำหรือไม่ได้ทำอะไรจนทำให้ทิศทางเศรษฐกิจของเราถูกคาดเดาได้ทั้งตลาดว่า จะทำหรือไม่ทำอะไร จึงเป็นช่องทางที่คนฉลาดกว่า ใช้ช่องทางนี้เข้ามาทำประโยชน์ได้
ส่วนการประชุม กนง.ครั้งต่อไป ที่มีการคาดหวังว่าจะมีการลดอัตราต่อเนื่อง ร้อยละ 0.25 อีกหรือไม่ นายพิชัย กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องดู เพราะเศรษฐกิจประเทศไทยผูกกับเศรษฐกิจโลกค่อนข้างมาก ดังนั้นเศรษฐกิจต้องปรับปรุงอยู่แล้ว แต่การที่ผูกอยู่กับต่างประเทศก็ต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง ว่าสถานการณ์ต่างประเทศ วิธีคิด แนวโน้ม เดินไปในทิศทางใด ซึ่ง กนง.ก็ต้องคิดให้หนัก
ส่วนกรอบเงินเฟ้อควรปรับมาอยู่ที่ ร้อยละ 2-3 หรือไม่ นายพิชัย กล่าวว่า รัฐบาลคาดหวังอย่างนั้น เพราะถ้าอยากช่วยเศรษฐกิจโตขึ้น ก็ต้องตั้งในสูงมากกว่าปัจจุบัน ส่วนตัวเห็นว่า เงินเฟ้อต่ำกว่า ร้อยละ 1 มันคงไม่ได้ ส่วนจะปรับในปีนี้หรือไม่ เห็นว่าปกติได้มีการตกลงเป็นปีๆอยู่แล้ว ดังนั้นช่วงนี้ใกล้สิ้นปีก็คงต้องมีการนั่งพูดคุยตกลงกัน ซึ่งทางภาครัฐบอกแล้วว่า ได้เวลาแล้วในเดือนนี้ ซึ่งจะต้องมานั่งพูดคุยกัน และทุกคนต้องเตรียมข้อมูลและส่งเรื่องนี้ให้กันต่อไป
ส่วนมีปัจจัยใดที่ทำให้ กนง. ลดอัตราดอกเบี้ยลงในรอบนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่ยอมลด นายพิชัย กล่าวว่า ต้องไปถามในส่วนของ กนง.
ส่วนจะเป็นเพราะเชื่อมั่นในนโยบายโดยรวม และตัวนายกรัฐมนตรี มากขึ้นหรือไม่ นายพิชัย เห็นว่า ทุกอย่างกำลังดีขึ้นเรื่อยๆ

ข้อมูล/ภาพ : ประชาชาติ